วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พิศวาสรักพญานาคราช

 

 

พิศวาสรักพญานาคราช

โดย ธรรมสิริ

∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞

 

“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”

เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือสุดวิเวกวังเวง ดังก้องเข้ามาในหู ทำให้คนที่ได้ยินขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย สิริภัทรนาคี ช่วยข้าด้วย”

นทีตกใจอีกครั้ง สิ่งที่เขาได้ยินไม่ใช่หูแว่วแน่นอน และดูท่าคงจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน

"แม่ครับ...ข้างหน้ามีอะไรนะ จอดรถก่อนได้ไหมครับ"

นทีพูดขึ้นมา เมื่อมองไปข้างหน้า มีผู้คนจำนวนมากกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่....

“นที..แม่ว่าเราอย่าไปยุ่งเลยนะลูก”

“แม่ครับผมอยากลงไปดู เผื่อจะได้ช่วยอะไรเขาได้บ้าง นะครับแม่”

“นะครับแม่..นะครับผม”

อะไรบางอย่างบอกให้ นที ต้องหยุดดูให้ได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ก็ได้ แต่นทีห้ามทำอะไรบุ่มบามนะลูก ในนั้นอาจมีมิจฉาชีพก็ได้

 

ครับผม

 

เดี่ยวแม่บอกน้า ให้จอดด้วยดีกว่าผู้เป็นแม่กดโทรศัพท์หาใครสักคน ก่อนจะมองไปข้างหน้า

มีคนจำนวนหนึ่งกำลังมุงดู...อุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง เธอไม่อยากให้ลูกชายลงไปดูภาพที่สะเทือนตา ติดตา ไม่รู้ว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า

 

แม่ว่าอย่าลงเลยนะลูก แม่ว่ามันอันตรายเกินไป ดูสิ รถเละซะขนาดนั้น แล้วคนละ

“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย สิริภัทรนาคี ช่วยข้าด้วย”

 

แม่ครับ..

อยู่ๆ รถก็ดับวูบไปเฉยๆ เครื่องยนต์หยุดทำงานอย่างกะทันหัน โดยที่ขวัญฤดีเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

“อะไรเนี้ย รถเป็นอะไรอยู่ๆก็ดับ”

ทันทีที่รถจอด นที บุตรชายของเธอก็เปิดประตูรถออก แล้ววิ่งพรวดไปยังกลุ่มไทยมุงดูอุบัติเหตุที่มีผู้คนนับสิบมุงดูอยู่

 

..

 

และเมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็แปลกใจ ไม่มีใครได้รับบาทเจ็บอะไรเลย

 

เด็กหนุ่มมองไปที่รถกระบะในสภาพที่ชนต้นไม้จนแทบจะหักล้มลงไป และรถก็แทบไม่เหลือสภาพที่ดีเลย

 

แล้วผู้คนมุงดูอะไรนะ

 

กระบะหลัง...มีกรงเหล็กมากมาย ... เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นก็แทบผงะ .. งูจำนวนมากหลายพันธ์ถูกขังไว้ในกรงที่นี่ .. น่าสงสารเหลือเกิน

 

"ป้าคะ" มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ  " 

ขวัญฤดีถามหญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนดูอยู่ด้วยท่าทางหวาดกลัว แต่ก็ไม่ยอม….ไม่หนีไปไหน

“ไม่มีใครเป็นอะไรเลยสักคนเดียว คนขับน่าจะวิ่งหนีไปแล้ว”

“แล้วป้าดูอะไรกันค่ะ”

“ก็นู้นไงนังหนู..เห็นไหมนั่นนะ”

ขวัญฤดีมองไปยังสิ่งที่ทอแสงประกายวาววับราวกับทองคำหลายกิโลกรัม เพียงแต่ขยับเขยื้อนไปมาได้

"งูทอง"  เธออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

งูทองเหรอ .... เป็นยังไงนะ

 

"ใช่แล้ว..ป้าเกิดมาก็พึ่งเคยเห็นงูที่สวยแบบนี้...งูเห่าตัวหนึ่ง ลำตัวสวยมาก .. เกร็ดของมันระยิบระยับ..ราวกับเป็นทองคำยังไงยังงั้นละจ๊ะนังหนู ดูสิ สวยเหลือเกิน....ต้องไม่ใช่งูธรรมดาแน่นอน ต้องเป็นงูวิเศษแน่ๆ"

 

ชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ก้มลงกราบงูตัวนี้  แล้วพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้... ราวกับภาษาที่ว่านั้นเป็นภาษาที่ใช้สำหรับสะกดงูนั่นเอง หรือไม่ก็บูชางู หรืออะไรนี่แหละ ขวัญฤดีเองก็ไม่เข้าใจ

เธอมองไปหาบุตรชายของเธอที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก แต่ตอนนี้ไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“นที”

“นที มาหาแม่เดี่ยวนี้ลูก..นที”

ทำไมต้องสะกดมันด้วยครับ มันเจ็บปวดทรมานนะครับ

นที เดินไปปัดมือของชายแก่คนหนึ่งออก ที่กำลังทำพิธีอยู่ ...จนธูปเทียนที่อยู่ในมือของชายคนนั้นกระเด็นกระดอนกระจัดกระจายเต็มไปหมด

 

อ้าว มาทำลายพิธีของข้า เดี่ยวงูปีศาจก็จะออกอาละวาดหรอก ไอ้หนู

สัตว์ทุกชนิดมันจะออกไปอาละวาดได้ยังไง ถ้าไม่มีใครไประรานมัน...ที่งูมันออกอาละวาด เพราะมีคนไปรบกวนมันต่างหากละครับ

เด็กน้อยพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกโมโห พร้อมกับหันหน้าไปหางูนับไม่ถ้วน ที่ถูกขังอยู่

“เจ้างูเอ๋ย ผมจะช่วยเองนะ แต่สัญญากับผมก่อนว่าจะไม่ทำร้ายชาวบ้านพวกนี้”

“ว่าไง สัญญากับผมก่อนสิ”

 

นทีพูดกับงู ราวกับกำลังคุยกับเพื่อนฝูง ทำเอาทุกๆคนที่อยู่ในนั้นตกใจเป็นอย่างมาก

 

น้ำ มานี่สิลูก

 

น้ำจะไปไหน อย่าลูก อย่า

 

ขวัญฤดี ตกใจมากกว่าเดิม เมื่อบุตรชายของเธอ อยู่ๆ ก็เดินเข้าไปใกล้งูตัวสีทองนั้นมากขึ้นมากขึ้น ... เร็วไปกว่านั้น ... เด็กชายวัย 4 ขวบ เปิดดึงกรงนั้นออก...แต่ด้วยแรงดึงยังมีไม่มากพอ กรงจึงเปิดไม่ออก

 

"น้ำ ... ออกมาเดี่ยวนี้ ... น้ำออกมา"

 

หัวอกคนเป็นแม่ แทบจะวิ่งกรูเข้าไปหาบุตรชาย แต่ถูกชาวบ้านกันเอาไว้ซะก่อน

 

"น้ำ... ออกมาสิลูก ... งูมันจะกัดเอา"

 

เมื่อกรงเหล็กที่ขังงูเห่ายักษ์สีทองเปิดไม่ออก เด็กน้อยวัยสี่ขวบ ก็จัดการเปิดกรงอื่นๆทันที ... งูจงอางขนาดใหญ่ เลื้อยออกมาจากกรงขัง เลื้อยผ่านขาน้อยๆ ของนที ก่อนจะ เลื้อยออกไปทางชาวบ้านที่มุงดูอยู่

 

เหล่าบรรดาชาวบ้านต่างพากันหนีงูจงอางตัวนั้นด้วยความตื่นกลัว หากว่ามันกัดเข้า มีหวังเตรียมเผาสถานเดียว.. รวมทั้งขวัญฤดีที่ขยับถอยหนี แต่ก็ไม่หนีไปไหน ด้วยความที่เป็นห่วงลูกชาย

แต่ก็ตกใจไปมากกว่านั้น เมื่องูจงอางขนาดใหญ่ แผ่แม่เบี้ยชูคอผงาดขู่ฟู่ๆ ต่อหน้าเธอ

ขวัญฤดีไม่ได้ห่วงตัวเองเลยสักนิดเดียว เธอห่วงแต่ลูกชายของเธอเท่านั้น

“อย่านะ ... นั่นแม่ของผม สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำร้ายคนอีก ไปสิ ..บอกให้ไปไง”

นทีพูดกับงูจงอางตัวนั้น

และน่าประหลาดใจ งูตัวนั้นค่อยๆ คลายแม่เบี้ยลง และเลื้อยออกไป

"น้ำ... ออกมาเดี่ยวนี้ .. .น้ำ"

 ขวัญฤดีเข่าอ่อนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น น้ำตาไหลออกมาด้วยความเป็นห่วงบุตรชาย 

 

"น้ำ.. ทำอะไรลูก... มาหาแม่สิลูก ..."

 

"น้ำไม่ไป... น้ำสงสารมัน... มันอยากกลับบ้าน"

 

"น้ำ"

 

"น้ำไม่ไป น้ำจะช่วยมัน"

 

นที พยายามแกะสลักเปิดกรง งูเห่าสีทองให้ได้

เขาใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก...

และก็สำเร็จในที่สุด

 

เจ้าเป็นอิสระแล้วนะ อย่าดื้ออีกละ เดี่ยวจะถูกขังอีก ไปได้แล้ว  นทีพูดด้วยเมตตาจิต

 

งูตัวนั้นค่อยๆ เลื้อยออกมา ชาวบ้าน เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างตกตะลึงกับลำแสงที่เปล่งประกายออกมาจากตัวของงูตัวนี้ ....

แสงสีทองอร่าม สว่างสดใสไปทั่วพื้นที่

“งูเห่าตัวนั้นแผ่แม่เบี้ยใส่เจ้าหนูนั้นทำไม”

“นที”

 ในขณะนั้น...นทีเองก็สลบลงไปกองที่พื้น

 

น้ำ ... น้ำ อย่าเป็นไรนะลูก

 

ขวัญฤดีวิ่งเข้าไปกอดบุตรชาย เพราะคิดว่าลูกถูกงูกัด แต่เมื่อสำรวจไปที่เนื้อตัว พบว่า ไม่มีร่องรอยอะไรเลย

 

เธอมองไปที่งูสีทองตัวนั้นที่เลื้อยไปช้าๆ ราวกับอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไปยังไงยังงัน

 

 

แต่ที่น่าแปลกใจคือ งูตัวนี้ค่อยๆ ตัวใหญ่ขึ้น ตัวใหญ่มากขึ้น มากขึ้นจนลำตัวใหญ่เท่าต้นตาล

“พญานาค”

“พญานาคจริงๆด้วย”

ชาวบ้าน ต่างยกมือไหว้ เป็นการใหญ่

และงูตัวนั้นก็เลื้อยไปอย่างรวดเร็ว และเลือนหายไปในพริบตา

 

ตอนที่ 2

สายลมพัดอ่อนๆ แต่เย็นยะเยือกราวกับเป็นสายลมที่พัดไอเย็นจากภูเขาน้ำแข็งยังไงยังงัน ...

 

 นที หนุ่มวัย 18 ปี กำลังนั่งเล่นอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน รู้แต่ว่า ที่นี่คุ้นตาเหลือเกิน

 

ราวกับว่าเขาเคยอยู่ที่นี่มานานแสนนาน

มวลน้ำขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาจากหนองน้ำ ดังจ๊วบๆ

นทีหันไปหาเสียงนั้นทันที

.

 

อยู่ๆจากมวลน้ำขนาดมหิมานั้นก็ค่อยๆสลายไปกับพื้นพสุธา พร้อมๆกับ การปรากฏตัวขึ้นมาของชายคนหนึ่ง... และคนคนนั้นก็ชำเลืองมองมาที่ตัวนทีไม่ยอมกะพริบตา

 

"ข้ารอมานานแสนนาน ที่จะได้มาเจอเจ้า สิริภัทร”

“คุณเป็นใคร”                               

“เจ้าจำข้าไม่ได้รึ”

นทีเอามือกุมศีรษะ และขยับตัวถอยหนีไปพร้อมๆกัน

“คงเป็นเพราะคำสาปของท่านพ่อแน่ๆ ..ข้าจะทำให้เจ้าจำข้าได้เอง”

พูดจบบุรุษหนุ่มรูปงามคนนั้นก็พนมมือไหว้หลับตา

แล้วพูดพึมพำภาษาอะไรก็ไม่รู้

นที มองไปยังบุรุษหนุ่มคนนั้น ... แค่แวบแรกก็รู้สึกเหมือนว่าสองเราเคยผูกพันธ์กันมาหลายร้อยชาติ

 

"ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนอีก" ชายคนนั้นพูดไว้ สีหน้าจริงจังที่สุด

 

นที ยิ้มให้กับชายคนนั้นด้วยความเอียงอาย ... แล้วทุกอย่างก็หายไป

 

.

 

.

 

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นมา.. จากหัวเตียงนอน

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นทีฝันอะไรแบบนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่สามารถนับได้

 

ฝันเห็นคนเดิมๆ คนคนนั้น ตลอดในช่วงปีนี้

 

มันคืออะไรนะ

 

คนเราจะสามารถฝันถึงคนคนหนึ่งได้ ในความฝันลักษณะเดียวกัน ได้ด้วยหรือเปล่านะ

 

เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจ และไม่เอามาเป็นประเด็นอะไรมากมาย ... เพราะนี้มันยุค 2020 แล้ว นินา

“แม่ครับผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ”

“ค่ะลูกน้ำ ตั้งใจเรียนนะลูก”

“ครับผม”

-เรียนหนังสือ

-พักเที่ยง

-เรียนภาคบ่าย

-เย็นออกกำลังกาย

-ทำการบ้าน

-เข้านอน

 

.

.

.

.

.

“ฝันดีครับแม่ เดี่ยวผมไปนอนละ”

“ฝันดีค่ะลูก”

ทุกๆอย่างที่นี่ดูเงียบสงบ แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ โดยเฉพาะการได้อยู่กับคนที่เรารักสายลมพัดอ่อนๆ แต่เย็นยะเยือกราวกับเป็นสายลมที่พัดไอเย็นจากภูเขาน้ำแข็งยังไงยังงัน ... เอะทำไมมันเหมือนคุ้นๆจัง

 

 นที  นฤบดินทร์ หรือ น้ำ ..กำลังนั่งเล่นอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน รู้แต่ว่า ที่นี่คุ้นตาเหลือเกิน

 

ราวกับว่าเขาเคยอยู่ที่นี่มานานแสนนาน

ที่แห่งนี้เป็นที่เขาเคยเล่น เคยมีความสุขอยู่กับใครสักคน

“น้องรักของข้า”

“น้องรักของข้า ข้ามาแล้ว”

สักครู่หนึ่ง. แสงสีทองก็สว่างขึ้นมา..อยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา และยืนอยู่หลังนที ... และคนคนนั้นก็ชำเลืองมองมาที่ตัวนทีไม่ยอมกะพริบตา ..นทีรู้สึกได้

 

และเหมือนเดิมคือคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน

 

แต่นทีพยายามนึก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ว่าบุรุษหนุ่มคนนี่คือใคร

 

"ข้ารอมานานแสนนาน ที่จะได้มาเจอเจ้า ข้ามีความสุขเหลือเกิน"

 

นที หันหน้ามองไปยังบุรุษหนุ่มคนนั้น ... รูปงามแข็งแรงยิ่งนัก...แค่แวบแรกก็รู้สึกเหมือนว่าสองเราเคยผูกพันกันมาหลายร้อยชาติ

 

"ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนอีก เป็นอันขาด สิริภัทรนาคีสุดที่รักของข้า"

 

บุรุษหนุ่มรูปงาม ผิวกายดั่งทอง คนนั้นพูดไว้ สีหน้าจริงจังที่สุด

 

"ท่านเป็นใครรึ"

 

เจ้าจำข้าไม่ได้หรอกรึ ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าจำข้าได้เองสิริภัทรนาคีสุดที่รักของข้า"

 

ได้ ข้าเองก็อยากรู้ว่าข้าคือใคร

 

นทีพูดจบก็ ยิ้มให้กับชายคนนั้นด้วยสงสัย และเคารพนับถือบุรุษหนุ่มรูปงาม ผิวกายดั่งทองคนนี้เหลือเกิน รู้สึกพิสมัยห่วงหา... แล้วภาพทุกอย่างก็หายไป

 

.

 

.ติ๊กๆๆๆๆ ติ๊กๆๆๆๆๆ ติ๊กๆๆๆ

 

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นมา.. จากหัวเตียงนอน

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นทีฝันอะไรแบบนี้ แต่เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่สามารถนับได้

 

ทำไมฝันแปลกๆ

 

ฝันเห็นคนเดิมๆ คนคนนั้น ตลอดในช่วงปีนี้ ฝันแล้วฝันอีก

ฝันซ้ำๆ

กับคนเดิมๆ

ที่เดิมๆ

ทำไมนะ

ทำไม

 

 

มันคืออะไรนะ

 

คนเราจะสามารถฝันถึงคนคนหนึ่งได้ ในความฝันลักษณะเดียวกัน เป็นปีๆ ติดต่อกันได้ด้วยหรือเปล่านะ

 

เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจ แต่ไม่เอามาเป็นประเด็นอะไรมากมาย ... เพราะนี้มันยุค 2020 แล้วนิ

 

.

 

.

 

นที... เด็กหนุ่มวัย 18 ปีบริบูรณ์ บุตรชายคนเดียวของขวัญฤดี ของบ้านนฤบดินทร์

 

ซึ่งตระกูลนี้เป็นตระกูลที่ร่ำรวยมากมายเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าไม่ต้องทำมาหากินอะไรก็อยู่อย่างสบายๆ เป็นสิบๆ ชาติ

 

.

 

นทีตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ มาทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิด... อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ของเขา

 

มารดาของนที เปรมชัย และแฟนของเปรมชัยเองก็ร่วมเดินทางไปทำบุญในครั้งนี้ด้วย

 

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้น บิดกายไปมาให้หายเมื่อย มันรู้สึกเพลียเหลือเกินราวกับไปทำอะไรมาทั้งคืนเลยนะ

 

เห้ย ทำไมเราเปียกไปหมดทั้งตัวเลย

 

นที จับไปที่เตียงนอนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำ

“หรือว่าฝันจะเป็นจริง”

แต่ว่า

นทีไม่อยากจะเชื่อในเรื่องเหล่านี้เลย

หรือบางทีอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้

เราฉี่รดที่นอนหรอกมั้ง แย่จัง โตละยังฉี่รดที่นอนอีก

.

“น้ำ..น้ำเอ้ย..ตืนยังลูก”

เสียงเจือยแจ้ว ดังมาจากข้างล่าง

“ตื่นแล้วครับ”

น่าจะเป็นมารดาของเขา และน้าๆ ที่มาเตรียมสังฆทาน ไปทำบุญตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนกัน

ได้เวลาออกไปทำบุญเสริมกุศลผลบุญกันแล้ว ไปกันเลย