วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พญาศรีสุทโธนาคราช



ประวัติเจ้าพ่อพระยาศรีสุทโธ
          เรื่องเจ้าพ่อศรีสุทโธกับตำนานอีสานเรื่องผาแดง-นางไอ่ จะมีความสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ คณะผู้รวบรวมกำลังศึกษาค้นคว้าจากหนังสือตำนานของอีสานหลายเล่มอยู่ พร้อมทั้งศึกษาจากการเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก ซึ่งไม่มีการบันทึกเป็นหลักฐาน แต่ผู้รวบรวมมีความเห็นว่าถ้าหากเป็นเรื่องเดียวกัน เจ้าพ่อศรีสุทโธน่าจะเป็นมนุษย์ คงจะเป็นเจ้าเมืองหรือผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยโบราณและคงจะเป็นคนที่เก่งมาก เมื่อชาวข่ากุลาจากประเทศอินเดียมาเสาะแสวงหาเกลือสินเธาว์ในภาคอีสานของไทยในสมัยโบราณ เพราะเกลือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นแก่ชีวิตมาก อาจจะมาพบชนเผ่าดังกล่าวเข้าแล้วนำลัทธิเทวนาคีเข้ามาเผยแพร่ จึงทำให้คนเก่ง กล้าหาญอย่างเจ้าพ่อศรีสุทโธ ตามลัทธิเทวนาคีกลายเป็นพระราชาพญานาคขึ้นมาก็ได้
          ผู้รวบรวมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าดินแดนอีสานทั้งหมดจากหลักฐานที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบ้านเชียง มีอายุประมาณ 5,000-7,000 ปี จะต้องมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มนุษย์ปกครองบ้านเมืองอยู่ในขณะนั้น อาจจะเป็นเจ้าพ่อศรีสุทโธก็อาจจะเป็นได้
ประวัติของเมืองคำชะโนดและเจ้าพ่อศรีสุทโธ
  วังนาคินทร์คำชะโนด หรือชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เมืองชะโนด สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของตำบลวังทอง ตำลบบ้านม่วงและตำบลบ้านจันทร์อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานีวังนาคินทร์คำชะโนด หรือ เมืองคำชะโนดมีเรื่องเล่ากันมาว่า
เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นพญานาค ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาคเช่นเดียวกันปกครองมีชื่อว่าสุวรรณนาค และมีบริวารฝ่ายละ 5,000 เช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมีอาหารการกินก็แบ่งกันกิน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเพื่อนตายกันตลอดมา แต่มีข้อตกลงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปหากินล่าเนื้อหาอาหารอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องออกไปล่าเนื้อหาอาหารเพราะเกรงว่าบริวารไพร่พลจะกระทบกระทั่งกัน และอาจจะเกิดรบรากันขึ้นแต่ให้ฝ่ายที่ออกไปล่าเนื้อหาอาหารนำอาหารที่หามาได้แบ่งกันกินฝ่ายละครึ่ง การกระทำโดยวิธีนี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งสุวรรณนาคพาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้ช้างมาเป็นอาหาร ได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งพร้อมกับนำขนของช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐานต่างฝ่ายต่างกินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญด้วยกันทั้งสองฝ่าย และวันต่อมาอีกวันหนึ่งสุวรรณนาคได้พาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้เม่นมา สุวรรณนาคได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม พร้อมทั้งนำขนของเม่นไปให้ดู ปรากฎว่าเม่นตัวเล็กนิดเดียว แต่ขนของเม่นใหญ่เม่นตัวเล็กเมื่อแบ่งเนื้อเม่นให้สุทโธนาคจึงต้องแบ่งให้น้อยสุทโธนาคได้พิจารณาดูขนเม่นเห็นว่าขนาดขนช้างเล็กนิดเดียวตัวยังใหญ่โตขนาดนี้ แต่นี้ขนใหญ่ขนาดนี้ตัวจะใหญ่โตขนาดไหนถึงอย่างไรตัวเม่นจะต้องใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนี้จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไปคืนให้สุวรรณนาคพร้อมกับฝากบอกไปว่า "ไม่ขอรับอาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์" ฝ่ายสุวรรณนาคเมื่อได้ยิน ดังนั้น จึงได้รีบเดินทางไปพบสุทโธนาคเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าเม่นถึงแม้ขนมันจะใหญ่โตแต่ตัวเล็กนิดเดียว ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้เป็นอาหารเสียเถิด สุวรรณนาคพูดเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่เชื่อผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงประกาศสงครามกัน ฝ่ายสุทโธนาคซึ่งมีความโกรธเป็นทุนอยู่ตั้งแต่เห็นเนื้อเม่น อยู่แล้วจึงสั่งบริวาร ไพร่พลทหารรุกรบทันที ฝ่ายสุวรรณนาคจึงรีบเรียกระดมบริวารไพร่พลต่อสู้ทันทีเช่นเดียวกัน ตามการบอกเล่าสู่กันฟังมาว่าพญานาค ทั้งสองรบกันอยู่ถึง 7 ปีต่างฝ่ายต่างเมื่อยล้า เพราะต่างฝ่ายต่างหวังจะเอาชนะกันให้ได้ เพื่อจะครองความเป็นใหญ่ในหนองกระแสเพียงคนเดียวจนทำ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณหนองกระแสและบริเวณรอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหายเดือดร้อนไปตามกัน เมื่อเกิดรบกันรุนแรงที่สุดจนทำให้ พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวทั้งหมด เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายเกิดความเดือดร้อน ไปทั้งสามภพความเดือดร้อนทั้งหลายได้ทราบไปถึง พระ อินทรา ธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เพื่อร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟังเมื่อพระอินทร์ได้ทราบเรื่องตลอดแล้ว จะต้อง หาวิธีการให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกันเพื่อความสงบสุขของไตรภพจึงได้เสด็จจากดาวดึงส์ ลงมา ยังเมืองมนุษย์โลกที่หนองกระแส แล้วพระอินทร์ตรัส เป็นเทวราชโองการว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้"   การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าทุกฝ่ายเสมอกัน และหนองกระแสให้ถือว่าเป็นเขตปลอดสงคราม ให้พญานาคทั้งสองพากันสร้างแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแสใครสร้างถึงทะเล ก่อนจะ ให้ปลา บึก ขึ้นอยู่ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือว่าการทำ สงครามครั้งนี้มีความเสมอกัน เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของพญานาค ทั้งสอง ให้เอาภูเขาพญาไฟ เป็น เขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอ ให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล เมื่อพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการ ดัง กล่าวแล้วสุทโธนาคจึงพาบริวารไพร่พลอพยพออก จาก หนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรง ไหนเป็นภูเขาก็คดโค้ง ไปตามภูเขาหรือ อาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยาก ง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า "แม่น้ำโขง"
คำว่า "โขง" จึงมาจาคำว่า "โค้ง" ซึ่งหมายถึงไม่ตรง ส่วนทางฝั่งลาว เรียกว่า แม่น้ำของ ด้านสุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการ ดังกล่าวจึงพาบริวารไพร่พลพลอย อพยพออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ ของหนองกระแส สุวรรณนาคเป็นคนตรงพิถีพิถันและเป็นผู้มีใจเย็น  การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำ ให้ตรงและคิดว่าตรง ๆ จะทำให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน ตนจะได้เป็นผู้ชนะ แม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า "แม่น้ำน่าน"แม่น้ำน่าน จึงเป็นแม่น้ำที่มีความตรงกว่า แม่น้ำทุกสายในประเทศไทย    
           การสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้งนั้น ปรากฎว่าสุทโธนาคสร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาคเป็นผู้ชนะและปลาบึกจึงต้องขึ้นอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลกตามการบอกเล่าต่อ ๆ กันมาว่า น้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำในแม่น้ำน่านจะนำมาผสมกันไม่ได้ ถ้าผสมใส่ขวดเดียวกันขวดจะแตกทันที ในกรณีนี้ยังไม่เคยเห็นท่านผู้ใดนำน้ำทั้งสองแห่งนี้มาผสมกันสักที สุทโธนาคเมื่อสร้างแม่น้ำโขงเสร็จแล้ว ปลาบึกขึ้นอยู่แม่น้ำโขงและเป็นผู้ชนะตามสัญญาแล้ว จึงได้แผลงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อ
พญานาคถ้าจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้ จึงขอทางขึ้นลงระหว่างบาดาลและโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่ง และทูลถามว่าจะให้ครอบครองอยู่ตรง 
แห่งไหนแน่นอน พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ 
1. ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ 
2. ที่หนองคันแท 
3. ที่พรหมประกายโลก (ที่คำชะโนด) 
    ส่วนที่ 1-2 เป็นทางขึ้นลงสู่เมืองบาดาลของพญานาคเท่านั้น ส่วนสถานที่ 3 ที่ พรหมประกายโลกคือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน (ตามตำนานพรหมสร้างโลก) แล้วพรหมเทวดาลงมากินดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์หรือผู้ให้กำเนิดมนุษย์ให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเมืองครอบครองเฝ้าอยู่ที่นั้น ซึ่งมีต้นชะโนด ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ลักษณะต้นชะโนดให้เอาต้นมะพร้าว ต้นหมากและต้นตาลมาผสมกัน อย่างละเท่า ๆ กันและให้ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค มีลักษณะ 31 วันข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์เรียกชื่อว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วัน ในข้างแรมให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค เรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล  ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงกึ่งพุทธกาล นับแต่ปี พ.ศ. 2500 ถอยหลังไป พี่น้องชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี 
จะไปพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญประจำปี หรือบุญมหาชาติที่ชาวบ้านเรียกว่าบุญพระเวท ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่บ่อยครั้ง และบางทีจะเป็น ผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอหูก (ฟืม) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำและปาฏิหาริย์ครั้งล่าสุดคือ ปี พ.ศ.2519 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง (รวมทั้งท้องที่อำเภอบ้านดุง) แต่น้ำไม่ท่วมคำชะโนด 
     เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธได้จัดมีการแข่งเรือและประกวดชายงามที่เมืองชะโนด นายคำตา ทองสีเหลือง ซึ่งเป็นชาวบ้านวังทอง ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง ได้บวชอยู่ที่วัดศิริสุทโธ (วัดโนนตูม และได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ.2533) ติดกับเมืองชะโนดได้เป็นผู้ได้รับคัดเลือกจากเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธให้ไป ประกวดชายงาม และบุคคลดังกล่าวเกิดความคลุ้มคลั่งอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ญาติพี่น้องได้ทำการรักษาโดยใช้หมอเวทมนต์ (อีสานเรียกว่าหมอทำ) จัดเวรยามอยู่เฝ้ารักษาและในที่สุดได้หายไปนาน ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วได้กลับมาและได้เล่าเรื่องเมืองชะโนดให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายฟังถึงความ งามความวิจิตรพิสดารต่าง ๆ ของเมืองบาดาลให้ผู้สนใจฟัง   ตำนานที่จะเล่าให้ฟังจากนี้คือ ซึ่งเชื่อมโยงและเกี่ยวพันถึงพญานาค เดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า ?วังนาคินทร์คำชะโนด? ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า 18 ปีล่วงผ่าน ดูเหมือนเรื่องเล่านี้ยังคงเป็นที่โจษขานสืบมา โดยเฉพาะในหมู่ชาว ต.วังทอง ผู้เชื่อมั่นและศรัทธาต่อผืนป่า เหตุการณ์ ?ผีจ้างหนัง? จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่จริง แม้อาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถพิสูจน์ได้ ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์ผีจ้างหนัง ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ตัวเขาคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ดี และเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทหนังเร่ เพราะอาจเป็นวันเฉลิมฉลองของเจ้าที่พอดีจึงเจอเข้าโดยบังเอิญ ?ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยเจออะไรผิดปกตินะ เพราะส่วนที่เป็นป่าใครก็ไม่กล้ารุกล้ำ แค่เดินเข้าไปนิดเดียวเจอน้ำแล้ว ถ้าไม่ใช่อำนาจของท่านทำขึ้น คนฉายหนังก็คงไม่สามารถไปตั้งจอหนังได้หรอก? หนังจะเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำแล้วละ แต่ตอนนั้นไม่มีผู้คนมาดูเลย พอ 3 ทุ่ม ก็มีคนมาดูจำนวนเยอะมาก แต่ที่แปลกก็คือ ผู้หญิงจะนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำนั่งอีกข้าง และทั้งหมดก็นั่งกันสงบเรียบร้อยเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวตัวเลย ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนหนังกลางแปลงทั่วไป ฉายหนังบู๊ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เงียบ แต่ที่น่าแปลกคือ ในงานไม่มีร้านขายของกินของใช้ แม้แต่ร้านขายบุหรี่ก็ไม่มี? 
ตำนานที่เกี่ยวข้องกัน
ตามคำบอกเล่าของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม กล่าวว่า ทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแลฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว เป็นพญานาคเจ็ดเศียรฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย เป็นพญานาคหนึ่งเศียรพญาศรีสุทโธ  ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่าพญานาค 6 อำมาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา 
        หลวงปู่เอ่ยชื่อ 6 อำมาตย์แห่งพญานาคไว้เพียง 3 คือ
1. พญาจิตรนาคราช เป็นพญานาคที่รักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน  ตั้งแต่ตาลีฟู ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่วัดหินหมากเป้ง
2. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่วัดหินหมากเป้ง มาจนถึงวัดพระธาตุพนม สุดเขตแดนที่แก่งกะเบา พญาโสมนาคราช มีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจ และโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราชมากกว่าพญานาคอื่น ๆ
3. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจากแก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขงลงทะเลในเขมร พญานาคตนนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ทำสงคราม คือชอบการต่อสู้เป็นนิสัย
พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวงในฝั่งลาว เป็นพญานาคที่ทรงฤทธิ์ ท่านเป็นพญานาคที่ชอบจำศีลและประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนพญาศรีสุทโธนาคราช โดยชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน
หลวงปู่คำพันธ์ยังได้กล่าวอีกว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือ แม่น้ำใหญ่ หากจะจัดให้มีพิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
เกี่ยวกับพญานาคที่วัดธาตุพนม มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่า ในคืนขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 11 ปี 2500 (วันออกพรรษา) คืนนั้นมีฝนตกหนัก นายไกฮวดและภรรยา ได้ลุกขึ้นมารองน้ำฝนไว้ดื่มกินตอนกลางดึก บังเอิญเห็นลำแสงแปลกประหลาดสว่างเป็นลำโต ขนาดต้นตาล  7 ลำแสง และมีสีสันแตกต่างกัน 7 สี สวยงามมาก โดยที่ลำแสงทั้ง 7  พุ่งมาจากฟากฟ้าทิศเหนือ ด้วยลักษณะแข่งกัน คือแซงกันไปแซงกันมา จนพุ่งเข้าซุ้มประตูวัดธาตุพนมแล้วก็หายไป
มีสามเณรรูปหนึ่งในขณะนั้นประทับทรงบอกนายไกฮวดและภรรยาว่าลำแสงทั้ง 7 คือ พญานาค มาจากเทือกเขาหิมาลัย มาเพื่อปกปักรักษาพระธาตุพนม และช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก
แต่หลวงปู่คำพันธ์บอกว่า นั่นเป็นพญาศรีสุทโธนาคราช และอำมาตย์ทั้ง 6  แสดงฤทธิ์ ในโอกาสที่ท่านได้บอกกล่าวเรื่องพญานาคนี้ ท่านจึงได้กล่าวพยากรณ์ว่า
พญานาคจะช่วยผู้ที่บูชาศรัทธาในพญานาคให้ผ่านพ้นอันตรายจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว ปี ... หลังหลวงปู่ตาย ปี บ้านเมืองจะเริ่มวุ่นวายเดือดร้อนให้พวกเจ้าศรัทธา และบูชาพญานาค ก็จะพ้นวิกฤตินั้นได้
ท่านบอกว่าจงสังเกตดูให้ดีจะเห็นความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ หลวงปู่คำพันธ์มรณภาพ เมื่อ 24  พฤศจิกายน 2546
พยากรณ์นี้สอดคล้องกับพยากรณ์โบราณของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ผู้บูรณะพระธาตุพนม ระหว่างปี พ.ศ. 2233 – 2235 “ปี 2555 เมืองไทยจะเกิดวิกฤติ จนถึงขั้นอาจตกต่ำลงไป”ยายชีนวล วัดภูฆ้องคำ อายุ 90 กว่าปี  อดีตเพื่อนสำเร็จตัน (ศิษย์สำเร็จลุน) ได้ย้ำพยากรณ์นี้ในปี 2549 ว่า  "เริ่มแล้วนะ เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนอีก  5 ปีข้างหน้า, ถ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมจะปลอดภัย"จากข้อมูลต่างๆทั้งข้อมูลทางธรรมและทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการติดต่อจากนาคาธิบดีให้ทราบว่าภัยพิบัติครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ขอให้หลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลรูปนาคราชขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายบอกพิกัดตำแหน่งของผู้ปฏิบัติธรรมให้ บูชาพญานาค ผิดหรือไม่ บางท่านสงสัยว่า การเคารพบูชาพญานาค ซึ่งไม่ใช่พระพุทธ พระพระธรรม พระสงฆ์ จะผิดหรือไม่ ... ความจริงแล้วเราก็เคารพ พระพุทธ พระพระธรรม พระสงฆ์ ตามปกติ เพียงแต่เคารพพญานาคเพิ่มเติมในฐานะเหมือนกับ การที่เราเคารพผู้อาวุโสกว่าเรา เคารพผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะพญาศรีสัตตนาคราชตลอดจนบริวารเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและปวารณาตนปกป้องพระพุทธศาสนา เป็นนาคราชสัมมาทิฐิคู่ควรต่อการเคารพได้ 
เรื่องโชคลาภ 
หลายๆคนอดถามไม่ได้เกี่ยวกับโชคลาภว่าบูชาพญานาคจะมีโชคลาภหรือไม่ ความจริงสิ่งนี้ย่อมขึ้นกับกรรมและวาระของแต่ละบุคคลด้วย  ส่วนพญานาคนั้นท่านเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงทรัพย์ในดินและสินในน้ำ สัญญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความเลิศในด้านโชคลาภและการช่วยเหลือของพญานาคจะมีข้อจำกัดน้อยกว่าพระ ท่านสามารถช่วยเหลือเรื่องต่างๆได้มากมายแต่ไม่เกินกฏแห่งกรรม
.. ปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธ ท่านใจดี มีเมตตามาก จากที่สัมผัสด้วยความรู้สึก ท่านรักลูกหลานทุกคน แต่อยากให้เราตั้งใจปฎิบัติธรรม ตามที่ลูกหลานพญานาคทุกคนควรทำนะค่ะ..
มั่นระลึกถึงท่าน ท่านจะคุ้มครองเราซึ่งเป็นลูกหลานท่านค่ะ
ตั้งนะโม 3 จบ
กายะวาจาจิตตัง อะหังวันทา
นาคาธิบดี ศรีสุทโธ
วิสุทธิเทวา ปูเชมิ ( 3 ครั้ง )
"ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราศรัทธา เชื่อมั่น เราจะได้รู้ด้วยตัวเองค่ะ " 
สามารถเทียบเพื่อความเข้าใจนะครับ กับตำแหน่งของมนุษย์ ดังนี้ องค์นาคาธิบดี เทียบเท่า พระเจ้าแผ่นดิน หรือประธานาธิบดี
พญานาคราช-นาคิณี เทียบเท่า นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
นาคา-นาคี เทียบเท่า ผู้ว่าราชการ-คหบดีผู้ใหญ่ฝ่ายต่างๆ
นาคผู้-นาคเมีย เทียบเท่า ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่ค่อนข้างดี
เงือกผู้-เงือกเมีย เทียบเท่า เหมือนประชาชนทั่วไปทำดีได้-ทำชั่วได้ชั่ว
งูตัวผู้-งูตัวเมีย เที่ยบเท่า ประชาชนทั่วไป แต่จะไม่ค่อยรักษาถือศีลใดๆ
ส่วนจระเข้ ปลา ปู หอย กุ่ง และสัตว์น้ำต่างๆ นั้นเป็นเพียงบริวาร ไม่ได้ร่วมอยู่ในวงศ์พงษ์เผ่า นับสายไม่ถึงกัน
ปู่ท่านก็บอกมาแล้วว่า ใครจะใหญ่กว่าใครไม่สำคัญ แต่เราคือเผ่าพันธุ์เดียวกันเท่านั้นพอ หากองค์ท่านใหญ่กว่าแล้วยังไง หรือท่านศรีสุทโธใหญ่กว่าแล้วยังไง อะไรคือสาระที่ลูกต้องการ? ถ้าปู่บอกว่า "พ่อคือนาคาธิบดีของนาคาธิบดีอีกทีลูกจึงจะภูมิใจงั้นหรือ? " ความยิ่งใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกจะมาสนใจ การปฏิบัติต่างหากที่ควรสนใจ ทำอย่างไรให้เกิดบุญบารมีแก่ตัวลูกเอง 
 ……………………………………………………………………..
องค์พญานาคาธิบดีศรีสุทโธวิสุทธิเทวา
เป็นพญานาคราชที่อยู่ตระกลูเอราปัถถะพระองค์มีพระวรกายเป็นสีเขียวเข้มปล้องพระ นาภี(ท้อง)และพระเศียรเป็นสีทอง เป็นพญานาคราชประจำองค์ท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์) ซึ่งเป็นพระโอรสของพญานาโคศิรินาคราชกับนางพญาศรีนคราบาดาล(แม่ย่าศรีเมือง) 
ปกครองพญานาคฝั่งประเทศไทยทั้งหมดโดยเฉพาะบริเวณภาคอิสานเกือบทั้งหมดเวียงวังอยู่ที่คำชะโนดหรือวังนาคินทร์ซึ่งเป็นที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองบาดาล (ซึ่งทั้งหมดอยู่ ๓ แห่ง คือ ๑. หนองคันแท บริเวณตอนใต้ของธิเบต ประเทศจีน ๒. บริเวณประเทศลาว กรุงเวียงจันทร์ ตอนนี้สร้างพระธาตุหลวงนครเวียงจันทร์ปิดทางขึ้นลงเรียบร้อยแล้ว และ ๓. ที่พรหมประกายโลกหรือวังนาคินทร์ คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี)เจ้าปู่ศรีสุทโธฯ มีพระชายาหลายพระองค์แต่ที่เป็นมเหสีเอกคู่บารมี คือ นางพญานาคิณีศรีปทุมมาวิสุทธิเทวี

องค์นางพญานาคิณีศรีปทุมมาวิสุทธิเทวี
องค์นางพญานาคิณีศรีปทุมมาวิสุทธิเทวีอยู่ในตระกลูเอราปัถถะเป็นพระมเหสีองค์พญานาคาธิบดีศรีสุทโธวิสุทธิเทวา 
เป็นพญานาคิณีที่มีพระวรกายเป็นสีเขียวตองอ่อน ปล้องพระนาภี(ท้อง)และพระเศียรเป็นสีทองพระองค์เป็นเจ้าย่าที่มีน้ำพระทัยใจดีเป็นเลิศประเสริฐนักหนาครับ
เป็นรายละเอียดเบื้องต้นแค่ให้รู้ว่าแต่ละพระองค์ท่านเป็นใครแต่รายละเอียดลึกๆ หรือวีรกรรมเรื่องราว ตำนานกาลเล่าขาน
คาถาบูชาจ้าวปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธ นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ 
กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวาปูเชมิ
ทุติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวาปูเชมิ 
ตะติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นาคาธิบดีศรีสุทโธ วิสุทธิเทวาปูเชมิ
เมตตัญจะมหาลาโภปิโยนาคะ ขันธปริตตัง  (คาถาขอทรัพย์พญานาคราช)
คาถาบูชาจ้าวย่านางพญา นาคิณีศรีปทุมมา
นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ
กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณีศรีปทุมมา วิสุทธิเทวีปูเชมิ
ทุติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณีศรีปทุมมา วิสุทธิเทวีปูเชมิ
ตะติยัมปิ กายะ วาจะ จิตตัง อะหังวันทา นางพญานาคิณีศรีปทุมมา วิสุทธิเทวีปูเชมิ
เมตตัญจะมหาลาโภปิโยนาคะ ขันธปริตตัง (คาถาขอทรัพย์พญานาคราช)
พระคาถานี้ไม่ใช่เป็นคาถาของจ้าวปู่  องค์นาคาธิบดีศรีสุทโธเพียงพระองค์เดียว...แต่เป็นพระคาถาที่ลูกหลาน ทั้งหลายสวดสาธยายถึงพญานาคราช -พญานาคิณีถ้วนทุกพระองค์  โดยแบ่งออกเป็นดังนี้... ลำดับแรกก่อนจะสวดสาธยายมนต์คาถาทุกบทต้องตั้ง
นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ
ถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า (คือพวกเรา) ทั้งหลายทั้งปวงเสียก่อน... พระคาถาบทนี้ออกไปจากร้านบูชาพญานาคเมื่อปี๒๕๔๕แปดปีกว่ามาแล้ว ขณะนั้นจ้าวหล้าฯท่านต้องการให้ลูกหลานได้รู้จักจ้าวปู่จ้าวย่ามากยิ่งขึ้น จึงได้ออกพระคาถาบทนี้ขึ้นมา เรียกว่าพระคาถาอ้อนขอความเจริญรุ่งเรืองให้ผู้สวดสาธยา   และผู้ที่ยกป้ายหินอ่อนราคาเป็นหมื่นบาททั้งสองป้ายไปไว้ให้ลูกหลานได้อ่านคือคณะของท่านพันเอกจารุเกียรติ  ชัยวงศ์  ขอประทานโทษที่ต้องเอ่ยชื่อท่านเพื่ออ้างอิงข้อมูล... แต่ก่อนจะแกะสลักหินแกรนิตสีแดงอาฟริกาเดินตัวหนังสือสีทองไปตั้งไว้ให้ลูกหลานพญานาคที่คำชะ โนดได้อ่านท่านรองจารุเกียรติก็ให้ลูกน้องนายทหารของท่านแบกข้ามสะพานเข้าไปวังนาคินทร์คำชะโนด จนหลังแอ็กหลังแอ่น   ท่านมาจดความละเอียดของพระคาถา  พระนามขององค์ศรีสุทโธ  องค์ศรีปทุมมา  เช็คข้อความจนมั่นใจว่าไม่ผิดแน่  ท่านจึงเอาไปแกะสลักหินแกรนิตเดินทองสองป้าย  ทั้งของจ้าวปู่ศรีสุทโธ  และขององค์จ้าวย่าศรีปทุมมา งานนั้นคณะของพวกเราไปกันเป็นคณะใหญ่มาก 
อธิบายเพิ่มนะคะ... 

ในรูปเป็นพระคาถาหัวใจพญานาค...ที่ใช้สวดสาธยายได้กับองค์พญานาคราช พญานาคิณีทุกพระองค์ค่ะเพราะคำว่า อะ...งะ...สะ...ประสิทธิลาโภ  แปลว่าหัวใจพญานาคนอกจากจะปกป้องคุ้มครองลูกหลานแล้ว...ยังบันดาลให้เกิดโภคทรัพย์อันประเสริฐอีกด้วยแต่จ้าวหล้าฯท่านบอกว่าไม่ใช่ของท่าน...ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นของพระพุทธเจ้า.
จ้าวหล้าฯเคยสอนแปลก ๆ ว่า
"ความรู้...จะลอยอยู่ในอากาศ  อยากได้ก็หยิบลงมาความรู้จะอยู่ใต้พื้นดินอยากได้ก็จก...(ล้วง) เอามาคนตายไปแล้ว  แต่สิ่งที่ออกจากสมองของคนไม่ตายตามจะลอยอยู่ในอากาศ อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ตายตามคนบางครั้งเจ้าจึงคิดอะไรได้โดยเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าคิดได้อย่างไรบางครั้งเจ้าอยู่ในที่เงียบ สงบ และนิ่ง...เจ้าจะมีความคิดแปลก ๆ เกิดขึ้น  เจ้าก็กระยิ่ม...ยิ้มย่องว่าเจ้าคิดได้เองแต่เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า  ความคิดอันนั้นอาจจะอยู่ตรงนั้นเจ้าของความคิดอันนั้นอาจจะตายไปแล้วเป็นร้อยปี หรือหลายร้อยปี...จำไว้ชานี...ไม่มีอะไรเป็นของใหม่...ภายใต้ด้วยอาทิตย์ดวงนี้...เพียงแต่ว่ารูปแบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไป...แต่เนื้อแท้ของมันเป็นดั่งเดิม..."
เป็นรูปที่องค์พญานาคาธิบดีศรีสุทโธฯ กับ พญานาคิณีศรีสุดาจันทร์ทิพย์เป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งครับ
นางพญาศรีสุจิตตรา  นาคิณีวิสุทธิเทวี...
เมื่อก่อนจะได้ตำแหน่งนี้...เป็นนาคมาณวิกามาก่อนด้วยเป็นพระธิดาของมเหษีองค์รอง  คือฝ่ายซ้ายของจ้าวปู่ศรีสุทโธวิสุทธิเทวา....เป็นธิดาของนางพญานาคิณี  ศรีสุดาจันทร์ทิพย์แต่แปลกว่า  พญานาคิณี พระองค์นี้กลับเป็นที่โปรดปรานของทูลกระหม่อมนางพญาศรีปทุมมานาคิณีวิสุทธิเทวีหากแต่ไม่เพียงเท่านั้น...องค์ศรีสุจิตตราฯ  ยังเป็นผู้ช่วยพญาศรีสุธาโภชน์ฯ  พระอนุชาเจ้าปู่ศรีสุทโธอีกด้วย...ก็ด้วยเหตุที่ได้ถวายงานเป็นผู้ช่วยองค์ศรีสุธาโภชน์ซึ่งเก่ง มากในด้านอักษรสาร เป็นหนึ่งไม่สองรองใครในด้านบุ๋นนาคิณี องค์นี้จึงมีพระสติปัญญาฉลาดหลักแหลมถวายงานองค์ศรีปทุมมาอย่างมิขาดตกบกพร่อง  เป็นเหตุให้นางพญาศรีปทุมมาโปรดมากเอ่ยเสาวนีย์  ขอองค์ศรีสุจิตตราจากองค์ศรีสุดาจันทร์ทิพย์มาเป็นนางสนองพระโอษฐ์ ใกล้ชิด"

ฝ่ายขวาของจ้าวปู่ศรีสุทโธคือ  พญาศรีสุธาโภชน์วิสุทธิเทวาชานียังไม่เคยสร้างตอนแผง ๗ เศียรเต็มเศียรเลยค่ะ...เคยสร้างแต่เศียรเดียวเลยต้องอัญเชิญนางพญานพเกตุนาคิณีพระวรชายาของท่านท้าววิรูปักษ์เขฯ มาให้ชมบารมีแทน(สังเกตุนะคะจ้าวหม่อมนพเกตุจะไม่มีเครา)เพราะท่านลำองค์สีเงินยวง เศียรสีทองทั้งองค์ แต่อยู่ใตระกู ฉัพยาปุตตะ..(สีฉัพรังษี  คือสีเงินยวงสว่างเหมือนแสงอาทิตย์)  ด้วยเหตุเพราะท่านมีความรู้มากมาย  ถ้าเทียบกับฮินดูโบราณจะเทียบได้กับวรรณะพราหมณ์   ด้วยท่านงดงามด้านจริยวัฒน์มาก ๆ เลยค่ะ ปรากฏตัวน้อยมาก   ลูกหลานสายลึกจริง ๆ จึงจะได้มีโอกาสได้กราบท่าน...แล้วถ้าใครเกี่ยวข้องด้านว่าน...ยาขอแนะนำให้อธิฐานจิตถึงท่านจะประเสริฐมาก ๆ ค่ะ           (ย้ำอีกครั้ง...ในรูปเป็นองค์แทนเพราะสีท่านเหมือนกันค่ะ แต่พ่อปู่ศรีสุธาโภชน์แผง ๗ เศียร...และมีเคราที่คางนะคะ องค์นาคิณีจะไม่มีเคราค่ะ)  
ข้อปฏิบัติในการเข้าไปสักการบูชาเกาะคำชะโนด
1.ห้ามใส่รองเท้า  สวมหมวกเข้าไปในเมืองคำชะโนด
2.ห้ามนำสุรา  พร้อมสิ่งของเสพติดใดๆเข้าไปในเมืองคำชะโนด
3.ห้ามขูดขีดต้นไม้บริเวณในวัดและในเมืองคำชะโนด
4.ห้ามนั่งบนขอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และห้ามนั่งบนราวสะพาน
5.ห้ามส่งเสียงดัง  ควรพูดคุยกันเบา ๆ แสดงกิริยาสุภาพ
6.ห้ามพูดจาหยาบคายดุด่าสาปแช่งหรือพูดหมิ่นประมาท
7.ห้ามทิ้งสิ่งของใดๆลงในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  จงช่วยกันรักษาความสะอาด
8.ห้ามทิ้งขยะ  เศษอาหาร  หรือสิ่งของใด ๆ ลงในเมืองคำชะโนด
9.ห้ามใช้ขันหรือถ้วยแก้วตักน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์

หากมีข้อบกพร่องต้องขออภัยนะที่นี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น