การสวดมนต์นั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนในยุคนี้ สะดวกมากในทุกเพศ ทุกวัยและไม่ใช่เรื่องของคนแก่ คนเคร่งครัดอีกต่อไปเหมือนที่เคยเป็นและเราเข้าใจผิดกันอย่างนั้น บทสวดมนต์ต่างๆ มีการเผยแพร่ออกมามากมายในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นกันและได้ยินกันจนเคยชินมากมาย
แต่การที่จะสวดมนต์ให้เกิดผลดีต่อชีวิตตามที่ทุกคนปรารถนานั้น ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ท่านได้แนะนำว่า หากจะให้ได้ผลดีจริงหรือดียิ่งๆ ขึ้นไปนั้น ควรจะต้องเริ่มจาก
1. ต้องเป็นคนดี และมีบุญของตนเองเสียก่อน
เรื่องนี้เป็นเคล็ดลับสำคัญในการสวดมนต์ และสวดคาถาศักดิ์สิทธิ์ทุกบท ที่จะต้องถือว่าเป็นอันดับแรกในการเตรียมตัวที่จะสวดเพื่อให้ชีวิตนั้นรุ่งเรือง ร่ำรวย บำบัดรักษาโรคภัยใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม
ด้วยพลานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของบทสวดมนต์และคาถานั้น เชื่อว่าหากผู้สวดนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม จะช่วยทำให้คนที่สวดนั้นพบกับความมหัศจรรย์ ในการนำเรื่องดีเข้ามาสู่ชีวิตไม่ขาดสาย จะทำการค้าขายก็เจริญรุ่งเรือง เงินไหลมาเทมา ครอบครัวก็เป็นสุข
เรื่องการปัดเป่าเคราะห์ร้ายหรือภัยพิบัติในชีวิตให้คลายตัวลงหรือหมดไปประจวบกับกรรมนั้นถึงเวลาอ่อนตัวลง และจะกลายเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เรื่องร้าย หรือสิ่งอัปมงคลเสนียดจัญไร เข้ามาในชีวิตได้อีก
บทสวดทุกบทในหนังสือเล่มได้มีการ พิสูจน์มาอย่างยาวนานจากครูบาอาจารย์ที่เคยสวดมาแล้ว แต่ที่หลายคนสวดแล้วบอกไม่ได้
เหตุผลสำคัญก็คือ ยังเป็นคนดีไม่พอ หรือบุญที่มีนั้นไม่พอที่จะส่งผลดีต่อชีวิตและความปรารถนาให้สำเร็จได้ หรือมีวิบากกรรมบางอย่างขวางเอาไว้
ทำไมถึงพูดว่ายังเป็นคนดีและยังบุญไม่พอเช่นนี้ เพราะการสวดมนต์นั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำกรรมดี เป็นการเพิ่มฤทธิ์ทางใจ น้อมนำพลังฝ่ายดีเข้าสู่ตัวด้วยอำนาจแห่งอักขระ อำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในบทสวดมนต์นั้น
แต่อำนาจและคุณความดีเหล่านี้จะเข้าสู่ตัวของผู้สวดไม่ได้เลย หากมีกรรมชั่วภายในสกัดกั้นอยู่มาก อำนาจฝ่ายดีก็ไม่อาจจะแทรกเข้าไปส่งผลได้เลย
ครูบาอาจารย์หลายท่านจึงกล่าวตรงกันว่า กรรมดีหรือกรรมขาวนั้นจะไม่สามารถเข้าไปไม่ได้เลย หากมีกรรมชั่วหรือกรรมดำอยู่ในใจ กรรมทั้งสองสิ่งนี้อยู่รวมกันไม่ได้ สิ่งที่สะอาดกับสิ่งสกปรกมันเข้ากันไม่ได้ กรรมชั่วมันจะไปขัดขวางให้สวดไม่ได้ จำไม่ได้แม้แต่จะสมาทานศีล 5 ที่เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคนไทยแต่ก็ทำไม่ได้ หรือทำให้ต้องมีกิจธุระหรือเหตุการณ์มาทำให้สวดมนต์ไม่ได้
เหมือนขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มขวด แม้พยายามจะกรอกน้ำเข้าไปอีกมันก็ล้นเข้าไปไม่ได้ เพราะน้ำในขวดมันดันไม่ให้เข้าไป
แต่อานิสงส์ของบุญและพลังศักดิ์สิทธิ์ของการสวดมนต์นั้นก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน แต่ทว่ายังส่งผลไม่ได้จนกว่า กรรมชั่วหรือกรรมดำนั้นจะลดลง จึงจะเข้าไปส่งผลกับชีวิตของเราได้
ดังนั้นก่อนที่จะสวดมนต์ ทำความดีสร้างมงคลสู่ชีวิตนั้น เป็นเรื่องจำเป็นมากที่ต้องลด ละ เลิกทำความชั่วเสียก่อนในทุกประเภทเพื่อไม่ให้มีกรรมชั่วเพิ่มเติม ในส่วนที่พลาดพลั้งไปแล้วนั้นเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็เหมือนน้ำดำหรือยาพิษที่แทรกอยู่ในน้ำสะอาดที่เคยใส่ลงไป
ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล กรรมดีสร้างได้ใหม่ในทุกวินาที หมั่นสร้างบุญกุศลเหมือนเติมน้ำสะอาดเข้าไปในชีวิตเรื่อยๆ น้ำดำหรือยาพิษนั้นก็จะเจือจางลงไป จนไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ เหมือนกับเวลาที่เรามีบุญมาก เป็นช่วงเวลาที่วิบากกรรมฝ่ายดีมาส่งผล วิบากกรรมฝ่ายไม่ดีก็ไม่มีโอกาสที่แทรกมาส่งผลได้ หรืออาจจะส่งผลได้น้อยมากจนเราไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าอยากจะให้ชีวิตดีต้องเริ่มตั้งวันนี้ วินาทีนี้เลย ถ้าอยากให้ชีวิตดีอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ขอให้มั่นใจและมีศรัทธาอย่างมั่นคงว่า “บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง”
สำหรับคนที่มีวิบากกรรมไม่ดีมาขวางไว้ ทำให้สวดมนต์ไม่ได้หรือจำบทสวดมนต์แม้แต่สั้นๆ ไม่ได้ หรือเจออุปสรรคกรรมขวางไว้ไม่ให้สวดมนต์ได้ ทางแก้ไขก็คือ หมั่นสร้างบุญกุศล อธิษฐานขอให้อานิสงส์แห่งบุญช่วยให้สวดมนต์ได้และต้องอุทิศบุญนั้นให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาขวางทางบุญนี้เสีย ทำบ่อยๆ จนเจ้ากรรมนายเวรเขาพอใจ เขาจะหลีกทางให้เราสวดมนต์สร้างบุญกุศลได้
มีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งสวดมนต์ไม่ได้ เพราะลิ้นมันคับปาก อย่าว่าแต่สวดมนต์เลยแม้แต่จะพูดก็ยังไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเคยไปปรักปรำพระภิกษุสงฆ์ว่าเสพสังวาสกับสีกา ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำจนทำให้ท่านต้องมลทิน ปฏิบัติธรรมต่อไม่ได้
ด้วยกรรมนี้ที่ไปขวางทางปฏิบัติธรรมและดูหมิ่นผู้มีคุณธรรม ทำให้ผลแห่งกรรมนั้นมาส่งผลให้ลิ้นที่เคยโกหกพกลม ใหญ่คับปากจนพูดไม่ได้และลุกลามกลายเป็นมะเร็ง จนได้เมตตาจากครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เป็นผู้ทรงคุณธรรมและมีเมตตายิ่ง บอกวิธีคลายวิบากกรรมให้ ลิ้นที่แข็งนั้นก็อ่อนลงจนสวดมนต์ได้จนถึงทุกวันนี้
สำหรับท่านใดที่ไม่รู้ว่าต้องเองได้รับวิบากกรรมจากกรรมใด เมื่อไหร่แน่ แต่ส่งผลให้มาขัดขวางในการสวดมนต์ ขอให้สร้างบุญกุศลเป็นของตนเองและอุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรแบบเจาะจงว่า
“โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่ขัดขวางการสวดมนต์ ขอให้ท่านมารับบุญกุศลนี้ เมื่อท่านมารับแล้วพอใจในบุญกุศลนี้ ขอให้ท่านถอนตัวจากการขัดขวางการสวดมนต์ด้วยเถิด”
หมั่นทำบ่อยๆ แล้วท่านจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เรื่องนี้พิสูจน์มาแล้ว แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ขอให้เป็นสิทธิ์ของท่าน บุญของท่านเอง
2. หมั่นทำบุญ และอุทิศบุญเพื่อให้ เหล่าองค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าของคาถาคุ้มครองอวยพร
คนเรานั้นชีวิตจะดีหรือจะรวยขึ้นมาได้นั้น ต้องมีบุญเก่าเป็นตัวหนุนไปรวมกับบุญใหม่ที่ต้องเร่งทำ บุญนั้นต้องเป็นบุญที่เราสร้างขึ้นมาเอง เพื่อเป็นฐานบุญ เป็นทุนรอนที่สำคัญของตนเองที่ต้องมี ก่อนจะไปขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยหรือไปพึ่งบุญของคนอื่น
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆัง พระอริยสงฆ์ของเมืองไทยที่ท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านได้เคยกล่าวไว้โดยสรุปว่า
“ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด
เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง
จงจำไว้นะเมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า“
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้และครุบาอาจารย์ท่านทราบดี ท่านจึงหมั่นเตือนคนว่าให้เร่งสร้างบุญของตนเสีย ยิ่งถ้าเรารู้ตัวว่าบุญน้อย ยังมีชีวิตที่ลำบากเจอแต่เรื่องร้ายๆ ในชีวิตซึ่งส่วนหนึ่งมันก็คือวิบากกรรมไม่ดีมาส่งผล รวมถึงกรรมไม่ดีที่จะทำขึ้นมาใหม่ ก็ต้องขวนขวายทำความดี หมั่นสร้างบุญกุศล ต้องทำบุญสร้างบุญเพิ่มเพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีนั้นเสีย
ขอบอกเคล็ดลับสำคัญข้อหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาและท่านบอกว่าคนรวยรู้จักดีในเคล็ดนี้และทำเป็นประจำ ก็คือ การให้ทานแบบทันที ให้ไปตามที่ร้องขอ ให้ตรงตามเวลา ตรงประโยชน์ที่คนมาขอความช่วยเหลือต้องการ
อย่าไปขี้เหนียว อย่าไปกังวลว่าให้ไปแล้วเขาจะเอาไปทำอะไร ครูบอาจารย์ท่านบอกว่า ใครทำทานแบบนี้ได้ จะเกิดโชคลาภมากมายแบบไม่คาดฝันขึ้นบ่อย จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองหมด เพราะกระแสบุญนั้นสูงและมาสนองตอบเร็ว
และเคล็ดลับสำคัญอีกข้อหนึ่งในการที่จะสวดมนต์คาถาให้ได้ผลนั้น เมื่อเราสร้างบุญแล้ว เราต้องอุทิศถวายบุญกุศลนั้น เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จนถึงองค์ปัจจุบัน
และอุทิศโมทนาพระคุณความดี ของครูบาอาจารย์ท่านที่เป็นเจ้าของคาถา อุทิศแด่เทวดาประจำตัว พรหมเทพเทวดาทั้งหลาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้ท่านช่วยเมตตาดลจิตดลใจ เรา ได้มีโอกาส สร้างพลังบุญมากขึ้นไปอีกและทำเหตุให้ตรงกับผลที่เราปรารถนาอยากได้
สำหรับการทำบุญอุทิศโมทนาพระคุณความดีไปให้เจ้าของพระคาถานั้น เป็นการแสดงความกตัญญู แสดงความเคารพและขอบพระคุณในพระคุณความดีของท่าน และเป็นการเชื่อมบุญระหว่างเรากับท่านให้มั่นคงแน่นแฟ้นมากขึ้น และการที่เรานำคาถานั้นมาใช้เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ เราต้องรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย ในการอธิษฐานแผ่บุญกุศลนี้
อย่างเช่น ขออุทิศถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นั้นสำหรับพระพุทธมนต์ที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เพื่อแสดงความนอบน้อมบูชาพระพุทธองค์
ขออุทิศโมทนาพระคุณความดีนั้นใช้กับพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์พระอริยสงฆ์ ที่เป็นเจ้าของพระคาถาหรือคาถา
สำหรับครูบาอาจารย์ที่เป็นฆราวาสที่เป็นผู้ค้นคิดนั้นใช้คำว่า อุทิศบุญแด่…(บอกชื่อท่านไป) แต่ถ้าไม่รู้ ให้กล่าวถึงว่า อุทิศถึงครูบาอาจารย์ผู้เป็นคนแต่งพระคาถาหรือคาถาที่เรามาใช้สวด
การใช้คำให้ถูกนั้น เป็นการแสดงเจตนาในความเคารพ เหมือนกับการจัดหิ้งพระ ที่ต้องรู้ว่าชั้นที่หนึ่งควรจัดพระพุทธรูปเป็นประธาน ชั้นที่สองเป็นพระอรหันต์ ชั้นที่สามเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์
ที่บอกว่าการอุทิศโมทนาพระคุณความดีหรือการอุทิศบุญนั้น เป็นการเชื่อมบุญกับท่านเจ้าของคาถา และเป็นการขอให้ตัวเรานั้นมีส่วนร่วมในบุญของท่านที่มีมากมายมหาศาล จนประมาณไม่ได้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคต เป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเราเองด้วย
การเชื่อมบุญนั้น เป็นเคล็ดวิธีโบราณ เป็นการอุทิศบุญใหม่ที่เราทำเพื่อไปกระตุ้นบุญเก่าที่เราอาจจะมีร่วมกับครูบาอาจารย์ ซึ่งต้องบอกว่ามีแน่นอนแต่จะมีน้อยหรือมากแค่ไหนไม่ทราบ ที่บอกว่ามีเพราะแม้ว่าเราจะไม่เคยพบ ไม่เคยได้รับคำสั่งสอน หรือได้รับคาถาโดยตรงจากท่าน แต่ทำไมเราถึงเลื่อมใส และมีจิตผูกพันกับท่านและอยากให้ท่านได้ช่วยเหลือ หรืออยากให้คาถาของท่าน บันดาลให้เกิดผลดีต่อตนเอง
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะต้องมีการผูกพันกับท่านแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนก็ตาม อาจจะเป็นคนรับใช้ เป็นญาติ เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งที่ใกล้ชิดหรือลูกศิษย์นอกกุฏิ หรือเคนร่วมสร้างบุญกับท่าน เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าก่อนที่เราจะเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ เราต้องผ่านการเวียนว่าย ตาย เกิดมานับครั้งไม่ถ้วนแน่นอนและไม่เพียงแต่ที่เป็นคน ต้องเป็นมาหมดแล้วทุกเหล่าสารพัดสัตว์ทั้งหลาย
และการเชื่อมบุญนี้ ถือว่าเป็นบุญใหม่ที่เราอุทิศไปมีส่วนร่วมบุญกับท่าน เพื่อให้ท่านรู้จักเรา เมตตาเรา เหมือนกับญาติผู้ใหญ่ของเรา ที่เรานานๆ ไปหาท่านสักครั้งหนึ่ง กับญาติผู้ใหญ่ที่เราหมั่นไปเยี่ยมเยียนมีอะไรไปฝากไปไหว้ท่านเสมอ เวลาที่เรามีเรื่องเดือดร้อน ท่านผู้อ่านคิดว่าญาติผู้ใหญ่ท่านไหนจะช่วยเราแบบเต็มใจ เต็มที่
การที่จะเชื่อมบุญนั้น เราเองต้องมีบุญของตนไปเชื่อมด้วย ถ้าไม่สร้างบุญขึ้นมาที่เป็นของตนจะเอาบุญที่ไหนไปเชื่อมบุญกับท่านได้ สำหรับการสร้างบุญกุศลนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ขอให้ยึดหลักการทำบุญ แห่งบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการไว้ เพราะเป็นการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องหลักพระพุทธศาสนา อันได้แก่
1. การบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละ ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจน กำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม ผู้ที่ทำงานใดๆ รู้จักเสียสละกำลังกายหรือกำลัง ทรัพย์ ก็ถือเป็นการสร้างบุญที่ดีทางหนึ่ง
2. รักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อให้พ้นจากการทำไม่ดี ทางร่างกาย 4 ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และ เสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท และไปก่อโทษให้กับคนอื่น
วจีทุจริต 4 ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และสร้างสัมพันธภาพทีดีในการทำงาน และสุดท้ายคือ มโนทุจริต 3 ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่ผูกพยาบาทกับใคร และ ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม ทำให้เรา ดำเนินชีวิตด้วย การมีทัศนคติที่ดี ทั้งต่อตนเองและคนอื่น เป็นการสร้างบุญและ พื้นฐานแห่งความสำเร็จอีกมากมาย
3. การภาวนา (ภาวนามัย) คือ การอบรมจิตใจ เป็นการ ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้ “สมาธิปัญญา” โดยการเริ่มฝึกจาก การทำใจให้สงบนิ่ง ก่อน แล้ว หัด สวดมนต์เพื่อให้จิตใจตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่ดี แล้ว จึง ฝึกด้วย การ เจริญภาวนา เพื่อจุดมุ่งหมายให้เข้าใจถึง ทางเจริญและ ทางเสื่อม หมายความว่า เมื่อรู้จักเจริญปัญญาแล้ว เราก็จะกลายเป็นคนที่แยกแยะได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ดี ควรทำ และไม่ควรทำ
4. การประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) เป็นการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ 3 ประเภท คือ ผู้ที่มี วัยวุฒิกว่า ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ สองคือ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และสามคือผู้ที่มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย การให้ความเคารพแก่บุคคลที่ควรเคารพย่อมส่งผลให้ผู้กระทำ เป็นคนที่น่ารัก
5. การทำงานในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม หากเป็นการทำงานประกอบอาชีพใดๆ ก็คือ ตนเองได้ทำงานที่ชอบแล้วยัง ส่งผลดีต่อตนเองคือ เลี้ยงดูครอบครัวได้ดี และช่วยเหลือคนอื่นให้มีความสุข อีก จึงเป็น พลังบุญที่ ยิ่งใหญ่
6. การให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศล หรือการ แบ่งบุญ ที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย “ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ หรือแม้แต่ องค์เทพทั้งปวง” ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป
7. การอนุโมทนาบุญ (ปัตตานุโมทนามัย)
คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย เป็นการสร้างบุญที่ง่ายมากทางหนึ่ง
8. การฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรม รวมไปถึง เรื่องราวดีๆ ที่ไม่จำกัดแต่ใน พระธรรม ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น ให้คลายความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้ที่ดี นั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป
9. การแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ดี หากเป็นพระภิกษุก็ย่อมเป็นการง่าย เพราะเป็นกิจของพระท่าน ที่ทำได้บ่อยๆ แต่ สำหรับคนทั่วไป ก็คือ การให้ความรู้ ให้ คำสอนในด้านคุณธรรม หรือแม้กระทั่ง เป็นตัวอย่างในการประพฤติตนที่ดี ประพฤติตนเป็นตัวอย่างให้กับบุคคลอื่นๆ ก็ ถือเป็นการสร้างบุญในข้อนี้เช่นเดียวกัน
10. การทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ เข้าใจในสิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารก็ตาม ทั้ง ทางเจริญทางเสื่อมเพื่อให้ชีวิตแยกแยะได้ว่า ควรจะทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็น ทัศนคติที่ดี อยู่เสมอ
เครื่องมือในการสร้างบุญ ทั้ง 10 ประการนี้ หากได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งมากจนครบทั้ง 10 ประการแล้ว ผลบุญ ย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ ยิ่งได้มีการเตรียมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ หยุดในสิ่งที่ควรหยุด เข้าไปแล้วก็ยิ่งได้รับบุญมหาศาล และสามารถส่งบุญให้เหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายได้ร่วมปกป้องและอวยพรปลอดภัย
และมีหลายข้อที่ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว การสร้างบุญกุศลนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวน เงินว่าจะมากน้อยเท่าใด บางครั้งทำบุญแต่ไม่ได้บุญกลับได้บาปก็มีมากมาย แต่ขึ้นอยู่กับ
– วัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้มาจากเบียดเบียนคดโกงผู้อื่น
– ผู้ให้นั้นบริสุทธิ์ มีเจตนาทำบุญไม่ได้หวังผลอื่นใด ประเภททำร้อยบาทหวังผลล้านบาทนั้นเป็นไปไม่ได้ มันค้ากำไรเกินควร ต้องใจบริสุทธิ์ครบทั้ง 3 กาลคือ ทั้งก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากการให้
– ผู้รับนั้นบริสุทธิ์ หมายความว่า ยิ่งผู้รับนั้นบริสุทธิ์หรือเรียกว่า “เนื้อนาบุญบริสุทธิ์” วัดหรือดูกันที่ด้วยท่านนั้นถือศีลมากข้อเท่าใด บุญของผู้ให้นั้นก็จะยิ่งมากขึ้นไปตามลำดับ ทำบุญกับพระสงฆ์ที่ถือศีล 227 ข้อย่อมมากกว่าคนธรรมดาที่ถือศีล 5 ทำบุญกับคนที่ถือศีล 5 ย่อมได้ผลมากกว่าคนไม่มีศีล
ยิ่งทำกับพระโสดาบัน พระอริยะสงฆ์ย่อมได้บุญมากหลายเท่าตัว หลักการที่จะดูว่าพระท่านใดนั้นมีเนื้อนาบุญสูงให้ดูที่วัตรปฏิบัติของท่าน อย่าไปดูที่สมณะศักดิ์หรือยศพระ เพราะบางที่พระที่ตำแหน่งสูงๆ ยังมีเนื้อนาบุญน้อยกว่าเณรองค์เล็กๆ เสียอีก เพราะแค่ห่มผ้าเหลืองสอนชาวบ้านได้ แต่สอนตัวเองไม่ได้หลอกประชาชนไปวันๆ
3. แผ่เมตตาอุทิศบุญปรับภพภูมิเทวดารักษาตัวและดวงจิตวิญญาณอยู่เสมอ
ในการทำบุญทุกครั้ง หลังจากที่ได้สร้างบุญเสร็จแล้ว ควรจะอุทิศบุญให้กับเทวดาที่รักษาตัว เพื่อแสดงถึงความเคารพ ความกตัญญูต่อท่านและเป็นการเชื่อมบุญกับท่าน ให้มีสายสัมพันธ์ที่ดีตลอดเวลา
ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ล้วนมีเทวดารักษาตัว เทวดารักษาตัวนั้น คือ ดวงจิตวิญญาณที่มีบุญมากอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าโลกมนุษย์ที่ยังคงมีความห่วงใยเรา มีกรรมที่ผูกพันกันอยู่ อาจจะเป็นพ่อแม่ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ เพื่อน ลูก พี่น้องหรือบริวารที่เคนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
ขอให้ทราบตัวกันว่า เทวดาเหล่านี้ท่านไม่ได้แฝงอยู่ในตัวเราแต่ท่านอยู่บนสวรรค์ แต่เฝ้าคอยดูเรา คอยดลบันดาลให้เราพบกับสิ่งที่ดีในชีวิต หรือคอยเตือนเมื่อเรามีภัยด้วยการดลบันดาลใจ ยิ่งเราอุทิศบุญส่งไปให้ท่านมากเท่าใด ท่านก็จะมีกำลังบุญบารมีมากและสามารถช่วยเหลือเราได้มากขึ้น
และในการอุทิศบุญเพื่อปรับภพภูมินี้ใช้ได้กับแก้และป้องกันในเรื่องดวงจิตวิญญาณเร่ร่อน ที่ตกทุกข์ได้ยาก พวกผีที่พยายามมาแฝงในตัวเราด้วย เพื่อให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีไม่มารบกวนเรา เพราะเราได้ส่งเขาไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น เป็นที่พึงพอใจของเขาและเมื่อเขาพอใจเขาอาจจะให้คุณกับเราได้ด้วย
ดังนั้นหลังจากสร้างบุญไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา ทุกครั้ง ควรแผ่เมตตาจิตอุทิศบุญไปให้พวกเขาทั้งหลาย ให้ได้รับผลบุญ และ ไปเกิดไปจุติยังภพภูมิที่เป็นสุขคติภูมิ มีสวรรค์ พรหมและมีพระนิพพานเป็นที่สุด โดยมีลำดับ กำลังวิธีการดังนี้
5.1 การแผ่เมตตาจิตของ ผู้ที่ไม่ได้ทิพยจักษุญาณ พึงตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงบุญกุศลของตัวเราเอง ตั้งเจตนาอุทิศบุญกุศลความดีทั้งหลายให้กับ ทุกดวงจิต ที่ประสบทุกข์กรรมเวียนว่าย ตกค้างอยู่ผิดภพ ผิดภูมิ ให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล และเราปรารถนาให้เขาทั้งหลาย ได้เกิดในภพภูมิที่ดีกว่า แบบนี้ได้ผลบ้างตามกำลังบุญกำลังสมาธิของผู้อุทิศ หากร่วมใจอุทิศกันมากๆ หลายๆ คนร่วมใจกันก็เกิดผลที่ดีได้ไม่น้อย
5.2 การอุทิศบุญของผู้ที่ได้ทิพย์จักษุญาณและมโนมยิทธิ ก็คือ การอธิษฐานนำกายทิพย์ ไปยังสถานที่แห่งนั้นที่เราอยากจะแผ่ส่วนบุญ เช่น สถานที่เกิดเหตุเคยมีคนตายจำนวนมาก ศาลรกร้าง เป็นต้น จากนั้น ก็ตั้งจิต แผ่บุญกุศลเป็น รัศมีจากกายทิพย์ของตนเองแผ่ไปยังดวงจิต และสัมภเวสี ทั้งหลายที่ปรากฏให้เห็นในจิตของเรา
เมื่อเราแผ่เมตตาไปแล้วจะปรากฏเห็น กายของสัมภเวสี ที่มาขอส่วนบุญ จะ เปลี่ยน เป็น กายที่สว่าง และ เปลี่ยนสภาวะกาย อาจเป็นกายทิพย์ ของภพภูมิ ของเทวดาบ้าง พรหมบ้าง
เรื่องนี้ท่านที่ปฏิบัติจนถึงได้ทิพย์จักษุญาณและมโนมยิทธิคงทราบดี แต่ท่านที่ยังไม่ถึงในระดับนี้ ก็พอจะทำได้ขอให้นึกถึงสถานที่นั้นที่จะแผ่เมตตาและอุทิศบุญ หรือดูรูปสถานที่แห่งนั้นบ่อย จนจิตเห็นภาพสถานที่นั้นชัดเจน นอกจากจะสร้างบุญกุศลแล้วยังเป็นการฝึกให้ใจมีฤทธิ์ด้วย
5.3 การตั้งจิตอธิฐานรวมบุญบารมีของเราเอง ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและที่จะทำต่อไปในอนาคตให้มารวมตัวกันก่อนแล้ว จึงแผ่อุทิศส่วนกุศลออกไปยัง ดวงจิต ทั้งหลาย อุปมาดังที่เรากำลังจะยกของหนักต้องมีการรวบรวมแรงก่อน
การแผ่เมตตาจิตแบบนี้ เราจะเห็นในจิตได้ว่า มีผลสูงกว่าขึ้นไปอีกช่วยให้ดวงจิตดวงวิญญาณ ปรับภพภูมิที่สูง ขึ้นไปได้จำนวนมากขึ้น
การที่ดวงจิตต่างๆ ปรับภพภูมิไปเกิดยังที่ที่ดีกว่าได้นั้นเป็นผลจากโมทนามัยบุญ คือ การเสวยผลจากการที่ดวงจิตเหล่านั้นมาร่วมยินดี และรับในบุญที่เราตั้งจิตอุทิศให้ ดังนั้นทุกครั้งที่เราอุทิศบุญจะมี ดวงจิต ที่มาโมทนารับได้ และรับไม่ได้ สำหรับดวงจิต ท่านที่โมทนาก็ไปได้ในภพภูมิที่ดีขึ้น
ส่วนดวงจิตที่มาไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตามหรือมาได้แต่ไม่อยู่ในสถานะที่รับได้ ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ใช้วิธีฝากบุญไว้ขอเมตตาต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โปรดเมตตามาสงเคราะห์ให้กับดวงวิญญาณที่มารับโมทนาบุญไม่ได้
วิธีการ ก็คือ การตั้งจิต ระลึกถึงขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ท่าน ทุกๆ พระองค์ ขอฝากบุญที่เราตั้งใจอุทิศให้ ขอท่านเมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสีไปยังทุกดวงจิต ให้เขาได้รับบุญกุศลและโมทนาบุญหรือส่งบุญให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้นเมื่อถึงเวลาที่เขารับได้
สำหรับวิธีนี้ เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด และเกิดผลอานิสงส์สูงมากๆ หากเราสัมผัสในจิตจะพบว่า มี ดวงจิต ที่ปรับภพภูมิขึ้นสู่สุขคติภูมิแบบนี้เป็นจำนวนมากมายเร็ว รวมทั้งกายที่เปลี่ยนไปนั้นมีแสงสว่างมากกว่า วิธีต้นๆ มากมายนัก
ที่แนะนำให้ใช้ก็ คือวิธีการที่ 3 นี้ ขอให้จำกันเอาไว้จงอย่าได้ใช้กำลังของตนเองอย่างเดียว
ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ท่านช่วยในการทำการทุกอย่างก่อนแผ่เมตตา ปรับภพภูมิ แล้วจงตั้งกำลังใจให้ถูกก่อนว่า เราทำไปก็เพื่อปรารถนาให้ดวงจิตแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายไปจุติ ยังภพภูมิอันเป็นสุขคติมีสวรรค์ มีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ
ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ท่านช่วยในการทำการทุกอย่างก่อนแผ่เมตตา ปรับภพภูมิ แล้วจงตั้งกำลังใจให้ถูกก่อนว่า เราทำไปก็เพื่อปรารถนาให้ดวงจิตแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายไปจุติ ยังภพภูมิอันเป็นสุขคติมีสวรรค์ มีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ
4. รวมสมาธิให้แน่วแน่มั่นคงก่อนสวดมนต์ (และหลังสวดมนต์)
การสวดมนต์ที่ไม่ได้ผลดีนั้น สาเหตุหลักอีกประการหนึ่งคือ การไม่มีสมาธิในการสวดที่ดีพอ เปรียบเหมือนเครื่องรับวิทยุที่ไม่มีกำลังหรือมีคลื่นแทรกอยู่ตลอดเวลา จึงรับคลื่นแห่งพลานุภาพความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ หรือรับได้แต่น้อยมาก
คนทั่วไปนั้นเวลาสวดมนต์มักไม่ทราบว่าควรจะต้องทำใจให้นิ่งเสียก่อน หรือถ้าจะให้ดีจริงให้ทำสมาธิเสียก่อนก็ยิ่งดีขึ้น เพื่อรวมจิตใจให้นิ่ง ไม่กระสับกระส่าย เพื่อทำให้จิตนั้นรวมกันเข้ากับพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งสวดด้วยความมีสมาธิมากเท่าใด อานิสงส์จะได้รับมากขึ้นเท่านั้นและเมื่อสวดมนต์เสร็จแล้วควรนั่งสมาธิต่อ ก็จะได้อานิสงส์บุญเพิ่มมากขึ้น มีวิธีการทำสมาธิของครูบาอาจารย์มาฝากกันครับ
การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ
ท่านพ่อลี หรือ หลวงพ่อลี ธมฺมธโร พระสายธุดงค์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆ ไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง 4 นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงขอสรุปจากคำแนะนำของท่านพ่อลีไว้ได้ดังนี้คือ
การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย คว่ำมือทั้งสอง หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปที่คำว่า พุทโธ จนจิตตั้งมั่นได้
การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความสั้น ความยาว ของเส้นทางที่จะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม ไม่อึกทึกครึกโครม และไม่มีสิ่งรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นที่ที่จะเดินไม่ควรสูงๆ ต่ำๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เมื่อหาสถานที่และเวลาที่เหมาะสมได้แล้วก็ตั้งสติ อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอดี วางมือทั้งสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ โดยเดินอย่างสำรวม ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ
การนั่ง คือนั่งให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปที่การบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไว้เป็นอารมณ์ให้กำหนดรู้อยู่ในใจ
การนอน คือให้นอนตะแคงข้างขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยืดมือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด นอนคว่ำ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติตั้งมั่นด้วยการภาวนาคำว่า พุทโธ ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกัน
หลักการทำสมาธินี้มีหลายวิธีที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ค้นพบ ล้วนแต่เป็นของวิเศษทั้งสิ้น ขอให้เราทุกคนลองค้นคว้าศึกษาดูรายละเอียด ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นมากที่สุดก็คือ
เมื่อออกจากสมาธิแล้วต้องอุทิศบุญกุศลในการทำสมาธิทุกครั้ง แผ่เมตตาและกล่าวคำขออโหสิกรรมด้วย
ถ้าเราจะใช้การสวดมนต์แนะนำว่า ให้ทำสมาธิแบบนั่งจะดีที่สุดเพราะจะได้สวดมนต์ต่อเนื่องไปได้เลย ตอนนี้ทุกท่านคงทราบเคล็ดทั้งหมดก่อนสวดมนต์กันแล้ว ที่เกิดผลดีแน่นอนจึงขอกล่าวถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์เพื่อให้ท่านทั้งหลายมีกำลังใจในการสวดมนต์
อานิสงส์ของการสวดมนต์
1. สวดมนต์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเป็นบุญที่ได้กล่าวคำศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ บทสวดพุทธมนต์นั้น มาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าที่ได้ทรงสอนสั่งสาวกและมีการจำและท่องสืบกันมา จนถึงมีการจดบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ผู้ที่ได้มีโอกาสสวดมนต์ในชีวิต เป็นการเปล่งคำศักดิ์สิทธิ์ถวายเป็นพุทธเจ้า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าและย่อมได้บุญกุศล
2. เกิดผลดีต่อร่างกาย คนที่สวดมนต์เป็นประจำนั้น ทางการแพทย์สมัยใหม่รับรองแล้วว่า การสวดมนต์ทำให้เกิดความสุขได้จริงในจิตใจ ส่งผลต่อร่างกายให้หลั่งสารความสุขออกมา ร่างกายก็จะแข็งแรง ใบหน้าสดใส ครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณถึงปัจจุบันทราบถึงเคล็ดลับลับสำคัญ ให้สังเกตว่าท่านจะมีอายุยืนมาก และบรรพบุรุษของเรานั้น ท่านสวดมนต์เป็นประจำอายุท่านจึงยืนยาว ไม่เหมือนคนในปัจจุบันที่ห่างเหินการสวดมนต์มาก อายุจึงสั้น
3. เป็นการบำเพ็ญภาวนาอย่างหนึ่ง ทำให้มีสมาธิจิตใจ แจ่มใส การสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิวิธีการหนึ่ง เมื่อจิตที่มีสมาธิย่อมแจ่มใส มีกำลัง คิดอ่านแก้ไขปัญหาอะไรก็จะทำได้ง่ายเพราะมีสติกำกับอยู่
4. เป็นที่โปรดโปรนของเหล่าเทพเทวดาและดวงจิตวิญญาณทั้งปวง แม้ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นพรหมเทพเทวดา สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เมื่อได้ยินบทสวดนั้นจะพบกับความเย็นสบาย คลายทุกข์ ทำให้นิยมชมชอบคนที่สวดด้วย และเมื่อยินก็จะช่วยปกป้องรักษาคนที่สวด
5. เกิดบุญจากการแผ่เมตตา เมื่อสวดมนต์เสร็จสิ้น มีการแผ่เมตตาแก่ตนเองและเหล่าสรรพสัตว์ย่อมเกิดอานิสงส์บุญเกิดขึ้น
6. ได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่สวดมนต์เป็นประจำนั้นย่อมได้รับการอวยพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ เพราะเป็นผู้สร้างกรรมดีจากการสวดมนต์และแผ่เมตตา
7. สร้างสิริมงคลต่อตนเอง และครอบครัว ปัดเป่าภัยพิภัย โรคร้ายได้จริง ทุกบทสวดมนต์นั้นมาจากอักขระที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจดลบันดาลให้สิ่งอัปมงคลนั้นออกไปจากชีวิต และสร้างสิริมงคลให้กับคนที่สวด ยิ่งสวดมากก็จะมีสิริมงคลมากขึ้น ทำอะไรก็สำเร็จโดยง่าย
8 สามารถแผ่บุญไปช่วยผู้อื่นที่เดือดร้อนได้ บทสวดมนต์ทุกบทนั้น สมารถแผ่บุญกุศลไปช่วยผู้อื่นที่เดือดร้อนได้ทุกเรื่อง ยิ่งเป็นสายเลือดเดียวกันจะยิ่งเร็วขึ้น เพราะมีทั้งบุญและกรรมผูกพันกันมา อานิสงส์ที่ดังที่กล่าวมาข้างต้นคงพอจะทำให้ทุกท่านเข้าใจ เรื่อง อานิสงส์ หรือ ประโยชน์ที่จะรับจากการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ตลอดจนการแผ่เมตตาเป็นอย่างดีแล้วอย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงประโยชน์เบื้องต้นเท่านั้นความจริงแล้วมีอานิสงส์ที่จะได้รับทางอ้อมทางลึกอีกมากมายกว่านี้นักแต่เป็น “ปัจจัตตัง” หรือรู้ได้เฉพาะตัวของแต่ละคนไป โปรดจำไว้เสมอว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต้องปฏิบัติเองถึงจะได้
9. เป็นพื้นฐานไปสู่การก่อนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานชั้นสูงต่อไป เมื่อทุกท่านทราบถึงการที่จะต้องทำอย่างไรก่อนถึงจะเริ่มต้นการสวดมนต์ ที่ครบถ้วนทุกประการแล้ว ต่อไปนี้จะขอนำทุกท่านพบกับวิธีการสวดให้ชีวิตดี สวดให้สุข สวดให้รวย กันในลำดับต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น