วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตำนานพญานาคไทย-ลาว

ตำนานพญานาคไทย-ลาว

       ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือ มีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง  เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี ๗ สี และที่สำคัญคือ  ตระกูลธรรมดำองค์ท่านจะมีเศียรเดียว แต่ถ้ำตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมี  ๓ เศียร ๕ เศียร ๗ เศียร และ ๙ เศียร พญานาคจำพวกนี้องค์ท่านจะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของ องค์ พระวิษณะนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราช เล่ากันว่าองค์ท่านจะมีกายที่ใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด  มี ๑๐๐๐ เศียร ท่านเกิด ทั้งในน้ำและบนบก  เกิดจากครรภ์และจากไข่     มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ และท่านสามารถจะแปลงร่างเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดารูปร่างสวยงาม กล่าวว่า ทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแล
ฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) เป็นกษัตริย์พญานาค   ฝั่งลาว มี ๗ เศียร ฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาค ฝั่งไทยมี ๑ เศียร พญาศรีสุทโธ ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยน  มีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่า  อ ามาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา
      ๑. พญาจิตรนาคราช ท่านรักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน ตั้งแต่ตาลีฟู  ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่วัดหินหมากเป้ง
      ๒. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่วัดหินหมากเป้งมาจนถึงวัดพระธาตุพนม  สุดเขตแดนที่แก่งกะเบา พญาโสมนาคราชมีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช  คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจและโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราช
      ๓. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจากแก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขง ลงทะเลในเขมร ท่านนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ ทำสงคราม คือ ชอบการต่อสู้เป็นนิสัย
พญานาค เป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ
article-05

พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ 
      - เกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที  ผุดเกิดสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เช่น พรหม เทวดา เปรต หรือสัตว์นรกทั้งปวง
      - เกิดแบบสังเสทชะ เกิดในสิ่งที่หมักหมมในเปลือกในตม ในที่ชื้นแฉะหรือด้วยเหงื่อไคลโดยไม่อาศัยฟองไข่ และครรภ์ของมารดา
        คือเกิดนอกครรภ์ เช่น หนอนหรือเชื้อแบคทีเรีย
     - เกิดแบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
     - เกิดแบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่

พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง
ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำหนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศจนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะหรือมีจิตผูกพันกับแม่น้ำและพญานาค หรืออธิฐานจิตขอเกิดเป็นพญานาค  (ถึงแม้ทำบุญมามากแค่ไหนพอที่จะไปเกิดสวรรค์ชั้นสูง ๆ กว่านี้ได้ แต่ถ้ามีจิตผูกพัน ยึดติดกับอะไรตายไปก็จะไปตรงนั้น) ดังนั้นควรยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดเพราะเป็นสรณะอันประเสริฐที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
พวกพญานาคอยู่ ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ
ประเภทของพญานาค นาคแบ่งล าดับชั้นตามหน้าที่ไว้เป็น 4 พวกคือ
      1.) นาคสวรรค์ มีหน้าที่เผ้าวิมานเทพ และเทวดา
      2.) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
      3.) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำคลอง
      4.) นาครักษาขุมทรัพย์

เมื่อรวมนาคทั้ง 4 พวกแล้ว จะมีพญานาคทั้งสิ้นประมาณ 512 ชนิด
และแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ
      1.) กามรูปีพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ
      2.) อพามรูปีพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ

พญานาคบางพวกมีอายุสั้น บางพวกก็มีอายุยืน อาจจะมีอายุยาวนานเป็นกัลป์ก้ได้ อย่างพญานาคตัวหนึ่งชื่อพญานาคกาละ มีอายุยืนยาวมาก ตั้งแต่พระพุทธเจ้ากุสันธะจนถึงพระสมณโคตมะ และจะมีอายุไปจนถึงพระศรีอาริยะเมตไตรย์ ตามปกติพญานาคจะกลัวพญาครุฑ

พญานาคที่พญาครุฑไม่สามรถกินเป็นอาหารได้ มีอยู่ 7 พวกด้วยกันคือ
      1.) พญานาคที่มีชาติกำเนิดที่ละเอียดกว่า และภพภูมิสูงส่งกว่าพญาครุฑ
      2.) กัมพลสัตรพญานาคราช
      3.) รตรัฐพญานาคราช
      4.) พญานาคราชที่อาศัยอยุ่ในมหาสมุทรสีทันดรทั้งเจ็ดสมุทร
      5.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน
      6.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในภูเขา
      7.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในวิม พญานาคที่กล่าวมานี้
เป็นพญานาคที่มีปรากฏอยู่ในชาดกทางพุทธศาสนา
พิษของพญานาค 
พญานาคเป็นพญางู เมื่อนึกถึงงูก็ต้องนึกถึงพิษของงู ความน่าเกรงขามของพิษพญานาคใน "คัมภีร์ปรมัตถโชติกพมหาอภิธรรม
มัตถสังหฏีกา" ปริเฉทที่ห้า จัดหมู่ของนาคไว้ตามชนิดของพิษแบ่งเป็น 4 จำพวกคือ
1.) พญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่างๆแม้จะยืดหรืองอ หรือเหยียดออกไป
    ไม่ได้จะปวดทรมานมาก
2.) ปูติมุขพญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วแผลจะเน่าเปื่อยมีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา
3.) อัคคิมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั้งตัวและรอยแผลที่ถูกกัดเป็นริ้วรอยคล้ายถูกไปไหม้
4.) สัตถมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ซึ้งผู้ใดโดนกัดแล้วก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า

พญานาคทั้งสี่ประเภทนี้ มีวิธีที่จะทำอันตรายด้วยวิธีที่แตกต่างกันดังนี้
1.)ใช้เขี้ยวพิษขบกัด แล้วพิษค่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว
2.) ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกมาทางตา
3.) มีพิษไปทั่วร่างกาย เพียงแต่ใช้ร่างกายกระทบเข้า ก็เป็นพิษแผ่ออกมาได้
4.) ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษออกมาและพิษนั้นจะแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างกาย

องค์นาคาธิบดดีทั้ง 9 พระองค์ (แต่ละเศียร) นั้นคือกษัตริย์แห่งเมืองบาดาลที่ปกครองวังนาคินทร์ต่างๆ ซึ่งแต่ละพระองค์เป็นพญานาคที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในศีลในธรรมแล้วทั้งสิ้น            
องค์นาคาธิบดีทั้ง 9 พระองค์ (แต่ละเศียร) มีพระนามดังต่อไปนี้                        
1. พญาอนันตนาคราช                        
2. พญามุจลินท์นาคราช                        
3. พญาภุชงค์นาคราช                        
4. พญาศรีสุทโธนาคราช                        
5. พญาศรีสัตตนาคราช
6. พญาเพชรภัทรนาคราชหรือพญาเกล็ดแก้วนาคราช                        
7. พญานาคด าแสนศิริจันทรานาคราช                        
8. พญายัสมันนาคราช                        
9. พญาครรตระศรีเทวานาคราช         

องค์นาคาธิบดี  เทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน, กษัตริย์ องค์นาคาธิบดีศรีสุทโธ แต่เดิมเป็นนาคธรรมดาสังเกตุจากที่มีเศียรเดียว แต่ได้เป็นองค์นาคาธิบดี(กษัตริย์แห่งนาค)ฝั่งไทย เพราะองค์อิศวรประทานให้เนื่องจากได้ทำความดีความชอบในการค้นหาโคศุภราชขององค์อิศวร เมื่อคราโคศุภราชหนีมาเที่ยวบนโลกมนุษย์ โดยองค์นาคาธิบดีศรีสุทโธเป็นผู้ค้นพบโคศุภราช   พญานาคราช พญานาคิณีเทียบเท่านายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรี นาค- นาคี  เทียบเท่า  ผู้ว่าราชการจังหวัด,ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นาคผู้-นาคเมีย เทียบเท่าประชาชนทั่วไปที่ถือว่าเป็นคนมีศีล     เงือกผู้-เงือกเมีย เทียบเท่าประชาชนทั่วไปแต่ไม่ถือศีลใดๆ   งูตัวผู้-งูตัวเมีย เทียบเท่าประชาชนทั่วไปที่ทำดีได้-ทำชั่วได้  ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาคจะไม่ท าร้ายใคร แต่ก็มีพญานาคชั้นเลว ชอบท าร้ายมนุษย์ตามแม่น้ำ  

บั้งไฟพญานาค...ออกพรรษา
เรื่องก็มีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อหลายพันปีก่อนสมัยพุทธกาล บนผืนแผ่นดินอันสะอาดบริสุทธิ์ของประเทศลาวในปัจจุบัน ชาวเมืองเป็นผู้มีศีลมีธรรม มีจิตใจที่งดงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ดูแลมารดาบิดากันเป็นปกติ พระราชาผู้ปกครอง บ้านเมืองทรงมีธรรมราชาครบถ้วน ๑๐ ประการ แล้วก็มีปุโรหิตท่านหนึ่ง
เป็นคนจิตใจงาม เป็นผู้มีปัญญามาก เวลาจะตัดสินคดีความอะไรก็บริสุทธิ์ยุติธรรม ท่านช านาญในไตรเพท มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงพญานาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพราะมีความเชื่อว่านาค เป็นผู้ให้น้ า ท่านก็ประกอบพิธีอย่างนี้ทุกปีๆ จนกระทั่งหมดอายุขัย  ด้วยใจที่ผูกพันกับพญานาคมาก กอปรกับบุญกุศลที่ท่านปุโรหิตท าในระดับที่ดีของชาวโลก ในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น เมื่อละโลกแล้ว ท่านจึงไปเกิดเป็นพญานาค มีกายสีทองสวยงาม เป็นหัวหน้าปกครองชุมชน  นาคในระดับล่าง อยู่ใต้ลำน้ าโขง ซึ่งจะเป็นภพซ้อนภพ มีอายุยืนมาก.......พญานาคมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง ระดับสูงก็อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ระดับกลางๆ ก็ลดหย่อนลงมาระดับล่างก็อยู่ในระดับพื้นมนุษย์ มีบ้านเมืองที่สวยสดงดงามพอสมควร ท่านเป็นผู้ปกครอง  ชุมชนนาคในละแวกลำน้ำโขงนั้น ซึ่งกว้างขวางมาก พญานาคท่านนี้ เมื่ออยู่ในเมืองนาค ท่านจะแปลงกายเป็นกายทิพย์ ที่คล้ายๆ มนุษย์ มีเครื่องประดับงดงามแล้วท่านปรารถนาพุทธภูมิมานาน ตั้งแต่ก่อนจะมาเกิดเป็นปุโรหิต แม้มาเป็นปุโรหิต ก็มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ลึกๆ ในใจ .......ครั้นเวลาล่วงเลยมาถึงสมัยพุทธกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม พอใกล้ถึงวันออกพรรษา เหล่าเทวดาก็โจษกันไปทั่วว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากดาวดึงส์ จนเสียงอื้ออึงโจษขานดังไปทั่ว พร้อมๆ กับเสียงดนตรีสวรรค์ดังไปถึงนาคพิภพ ท าให้อาสนะ ของพญานาคที่เคยอ่อนนิ่มกลับแข็งกระด้างขึ้นมา สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พญานาคและบริวาร จึงออกมาจากนาคพิภพ ขึ้นไปอยู่บนผิวน้ าของแม่น้ำโขง ในวันเทโวโรหณะออกพรรษา สายตาก็มองไปบนท้องฟ้า ตอนนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ยังฟูฟ่องล่องลอยอยู่เยอะแยะ แต่สักพักหนึ่งเมฆก็แวบหายไป ท้องฟ้าเริ่มเปิดออก มีลำแสงฉัพพรรณรังสีพุ่งออกมา ท้องฟ้ากลวงเข้าไป เหมือนไม่มีท้องฟ้า ในบริเวณนั้น คือท้องฟ้าเปิดจนมองเห็นสวรรค์ ในล าแสงนั้นก็จะเห็นเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ในภพ ๓ เต็มไปหมดเลย ยกเว้นอรูปพรหม ๔ ชั้น อสัญญีสัตตาพรหม หรือพรหมรูปฟัก ที่ ไม่ได้มา นอกนั้นมาหมดเลย

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ คอยอารักขา นาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ โดยเฉพาะคนธรรพ์จะร้องร าท าเพลง ประโคมดนตรีตลอดเวลา พลุสวรรค์หลากสี แต่ไม่ได้ดังตุ้มๆ เหมือนพลุในเมืองมนุษย์ แต่ดังเป็นเสียงดนตรีสวรรค์ ดอกไม้ทิพย์สวยสดงดงาม หอมฟุ้ง ตลบอบอวลไปทั่ว บริเวณสองข้าง ทางก็เต็มไปด้วยทวยเทพทุกชั้น ผู้ปกครองของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เทพอัปสร เรียงกันลงมาเป็นกระบวนถัดจากนางเทพอัปสรก็จะมีเหล่าเทวดายืนเรียงรายกันเต็มไปหมดเลย มีบันไดทองค าใส บันไดแก้ว เพชร บันไดเงิน ทอดลงมาจากดาวดึงส์จนถึงพื้นโลกมนุษย์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอยู่ตรงกลางบันไดแก้วเพชรที่มีหลากสี ทั้งม่วง คราม น้ าเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ตามหลังมาด้วยปัญจสิกขเทวบุตร และมาตุลีเทพสารถี ส่วนบันไดทองค าใสก็เป็น ของเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีท้าวสุยามา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา ถือพัดวีชนี ท้าวสักกเทวราชหรือ พระอินทร์ถือปาริฉัตกะ ถัดมาก็ท้าวสันตดุสิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวนิมมานรมิต ผู้ปกครอง สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ถัดมาก็ท้าวปรนิมมิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี และตามด้วยเหล่า เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น