วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี บุกเมืองพญานาค ตอนที่ 3

ดาบสฤๅษี
“ก็พอดีเดินเข้าไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่ง มีขั้นบันไดหินทอดขึ้นไปสูงประมาณสองวา พบคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เป็นพระฤๅษีดาบสผมยาว”
“พระฤๅษีหรือครับ”
“เป็นคนนี่แหละ แก่เฒ่าแล้ว ผมขาวยาวหนวดเครายาวถึงเอว นั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่ใต้เงื้อมผา อาสนะที่นั่งเป็นเบาะปูลาด”
“หลวงปู่ก็นั่งลงยกมือไหว้ ตาแกคนนั้นร้องห้ามหลวงปู่ไว้ ไม่ให้ไหว้ แกบอกว่า ข้าเจ้าไม่ใช่พระ อย่าไหว้ข้าเจ้าให้เป็นบาปเลย ข้าเจ้าเป็นตาปะโสหรือดาบสฤๅษี”
“ดาบสฤๅษีเป็นพญานาคแปลงกายหรือครับ”
“ไม่ใช่ ท่านบอกว่าท่านบวชเป็นพระฤๅษีดาบสมาได้ 3,000 ปีแล้ว บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาอยู่ แก่งลี่ผี”
“เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะมีอายุถึงสามพันปี”
“พวกฤๅษีดาบสที่บำเพ็ญพรตเจริญภาวนาในพระธรรมจนบรรลุอภิญญาสมาบัติชั้นสูงพวกท่านย่อมมีอำนาจสามารถยืดอายุเวลาให้ยืนนานออกไปได้นับพัน ๆ ปี อันนี้หลวงปู่เชื่อว่าเป็นความจริง มันเป็นวิชชาลึกลับ”
แก่งลี่ผี
“แก่งลี่ผีอยู่ที่ไหนครับ”
“แก่งลี่ผีอยู่ในแม่น้ำโขง เบื้องทิศใต้นครจำปาศักดิ์ลงไป แม่น้ำโขงแถว ๆ นั้นมีเกาะแก่งมากมายนับร้อย ๆ เกาะ แล้วมีภูเขาลูกหนึ่งขวางกั้นแม่น้ำโขงอยู่ แม่น้ำโขงไหลข้ามเขาไปกลายเป็นน้ำตกลงไป”
“ชาวบ้านเรียกว่าลี่ผี หมายถึงที่ดักปลาของภูตผี ท่อนซุงใหญ่ ๆ ขนาดหลายคนโอบตกลงไปในแก่งลี่ผีจะแหลกละเอียดหมด เรือแพผ่านเข้าไปไม่ได้ เป็นวังน้ำวนแก่งน้ำตกมฤตยู แล้วยังมีอุโมงค์ใต้น้ำ ให้น้ำโขงไหลลอดภูเขาด้วยหลายอุโมงค์”
“ภูเขาลูกนี้ลึกลับอาถรรพณ์ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกฤๅษีชีไพรตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ชอบไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น เพราะเงียบสงบ คนไปรบกวนไม่ได้”
“ดาบสฤๅษีตนนี้ มาทำไมที่นี่”
“หลวงปู่ถามดูแล้ว ท่านดาบสผู้มีอายุยืนนานเล่าให้ฟังว่า พวกบังบดนิมนต์ท่านมาเทศนาธรรม”
“พวกบังบด คืออะไรครับ”
“หมายถึงพวกลับแลหรือพวกมีสภาวะเป็นทิพย์ อย่างพวกพญานาคนี้ก็ถือว่าเป็นพวกลับแลพวกหนึ่งได้เหมือนกันเพราะมีสภาวะทิพย์”
“พระฤๅษีดาบสบอกว่า ท่านมาเทศนาธรรมอบรมชาวลับแลได้สามวันแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรอยู่ภูจอมทองฝั่งลาว”
หลวงปู่ถามว่า
“แล้วพวกชาวเมืองลับแลไปไหนหมด ทำไมไม่เห็นสักคนเดียว ท่านตอบว่า พวกชาวลับแลไม่อยากแสดงตัวให้เห็น หลวงปู่เลยบอกท่านว่า จะเข้าไปเที่ยวดูชมข้างในต่อไป ท่านได้ห้ามไว้”
“ทำไมพระฤๅษีถึงห้ามไว้ครับ”
กฎลึกลับ
“พระฤๅษีท่านบอกว่า ข้างในเป็นเวียงวังของพญานาค เป็นเขตอาถรรพณ์ หากมนุษย์เข้าไปแล้วจะต้องอยู่ที่นั่นเลย กลับออกมาไม่ได้ ถ้ากลับออกมาต้องตาย มนุษย์ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีวิชาอาคม ได้ฌานสมาบัติ ถึงจะมีอำนาจต้านทานพิษร้ายแรงของพญานาคได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วต้องจำพรรษาอยู่ในเวียงวังพญานาคตลอดไป จะออกมาไม่ได้”
“ทำไมถึงกลับออกมาไม่ได้ ครับ”
“มันเป็นกฎลึกลับของบานเมืองบาดาลเป็นอย่างนั้น อย่างพระฤๅษีดาบสท่านมาจากแก่งลี่ผี ท่านก็ยับยั้งอยู่แค่เขตวัดมหาเจดีย์ทองคำนี้เอง ไม่เข้าไปในเขตเวียงวังของพญานาค ถ้าเข้าไปแล้วท่านว่าต้องอยู่เป็นสมภารเจ้าวัดในเมืองบาดาลตลอดไป กลับออกมาอีกไม่ได้ ดังนั้นพวกพญานาคจึงออกจากเวียงวังชั้นในมาฟังธรรมเทศนาของท่านที่ข้างนอกแห่งนี้”
“แล้วหลวงปู่ไปไหนอีก”
“พระฤๅษีดาบสท่านบอกให้หลวงปู่กลับ ท่านว่าหลวงปู่มาสามวันแล้ว อย่าอยู่นานกว่านี้เลยไม่ดี อาจแพ้พิษของพวกพญานาคได้ เพราะในอาณาเขตใต้พิภพเมืองบาดาลนี้ พวกพญานาคคายพิษอันตรายไว้ทั่วไป อากาศเป็นพิษกับมนุษย์และสัตว์ทั่วไป หลวงปู่ได้รับคำเตือนเช่นนั้นก็เลยกลับออกมา” .
“กลับออกมายังไงครับ”
“กลับออกมาทางเก่า พอข้ามแม่น้ำที่หลวงปู่ทำเครื่องหมายกองหินไว้ก็พบพญางูใหญ่ตัวนั้นอีก แปลกแท้ ๆ เขามารออยู่แล้วคล้ายรู้ว่าหลวงปู่จะกลับ”
“พญางูตัวนั้นนำทางอีกใช่ไหมครับ”
“เออ...ขากลับนี้เขาเลื้อยนำหน้าพากลับทางลัด เป็นอุโมงค์มีขั้นบันไดหิน สูงชันมาก สองข้างอุโมงค์มีแสงสว่างคล้ายแก้วระยิบระยับ แล้วก็มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล หลวงปู่รู้สึกว่ามาประมาณเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ในราวสักครึ่งชั่วโมงกระมั้ง”
“กลับมาถึงไหนครับ”
“ก็กลับมาถึงถ้ำมืดนั่นแหละ”
“หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปแน่นะครับ ”
“จะฝันอะไร ก็หลวงปู่เดินไปนี้แหละ หลวงปู่ได้ไปเห็นมาจริง ๆ ก็เล่าให้พระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกันฟังรู้กันหมด”
อาจารย์คำดี
“คืออย่างนี้ หลวงปู่ลืมเล่าให้ฟังตอนแรก ทีแรกนั้นตอนจะได้ไปถ้ำมืด เพื่อค้นหาถ้ำเมืองพญานาคใต้บาดาล ท่านอาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาพวกชาวบ้านจากจังหวัดศรีสะเกษมาไหว้หลวงปู่ มากันเต็มสองคันรถเลย”
“พวกอาจารย์คำดีอยากได้พระเครื่องของโบราณในถ้ำมืดไปบูชา แล้วก็มีพวกฆราวาสที่มาด้วย เป็นนักวิชาอาคมเก่งไสยศาสตร์ เขาอยากค้นหาเหล็กไหลในถ้ำมืดด้วย”
“ทีนี้ก็อยากจะให้หลวงปู่พาไปถ้ำมืด ลำพังพวกพระพวกโยมที่มาจากศรีสะเกษกลัวจะแพ้ภัยตัวเองเป็นอันตราย เพราะข่าวเล่าลือว่าถ้ำมืดศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยนหลาย เป็นเมืองลับแลมีงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลให้คนเห็นอยู่บ่อย ๆ พวกเขาหวังพึ่งหลวงปู่ในเรื่องนี้ ว่าคงจะช่วยคุ้มครองให้เขาได้”
“หลวงปู่ไม่อยากขัดศรัทธาก็เลยไป เพราะได้ตั้งใจไว้อยู่แล้วเหมือนกัน อยากจะไปพิสูจน์ความจริงเรื่องถ้ำมืดนี้”
“พวกที่ไปด้วย ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเมืองพญานาคกับหลวงปูละครับ”
“เขากลัวกัน ไม่กล้าเข้าไปด้วยกับหลวงปู่น่ะซี พวกเขาทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำกัน อ้อนวอนขอพระเครื่องพระบูชาของโบราณ และขอเหล็กไหลด้วย”
“หลวงปู่ไม่ยุ่งด้วยกับพิธีของเขา หลวงปู่ใช้สมาธิอธิษฐานธรรมตรวจสอบ”
“ทีนี้พวกเขาเกิดกลัวกันขึ้นมาเพราะมีนิมิตอะไรบางอย่างในพิธีของเขา รู้สึกว่าเขาจะพบนิมิตเป็นงูใหญ่น่ากลัวมาก พอหลวงปู่จะเข้าถ้ำลึก พวกเขาไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ฉุดแขนพระอาจารย์คำดีจะให้มุดเข้ารูถ้ำไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีกลัวมาก ไม่ยอมเข้าท่าเดียว บอกว่าจะคอยอยู่ข้างนอกถ้ำมืด”
“เมื่อพวกเขากลัวกันไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ไล่ให้พระอาจารย์คำดีพาญาติโยมทั้งหมดหนีไปให้ห่างไกล อย่าอยู่ใกล้ถ้ำมืดเป็นอันขาด เพราะหากมีอะไรออกมาแปลก ๆ เช่น พญางูใหญ่ออกมา จะทำให้พวกเขาตกใจกลัว อาจพากันวิ่งหนีด้วยความเสียขวัญตกเหวตกหน้าผาตายกันหมด ”
“พวกเข้าก็เชื่อ พากันรีบหนีออกจากถ้ำมืดไปคอยหลวงปู่อยู่ตั้งไกล สามวันให้หลัง เมื่อหลวงปู่กลับออกมาพวกเขาก็ยังคอยอยู่”
“หลวงปู่ไม่ได้อะไรออกมาฝากพวกพระอาจารย์คำดีบ้างหรือครับ อย่างเช่น พระเครื่องของโบราณ”
“ไม่มี......หลวงปู่ไม่เห็นมีพระเครื่องที่เขาอยากได้กัน อีกอย่างไม่กล้าหยิบเอาอะไรออกมา เพราะได้บอกเจ้าถ้ำเจ้าเขาแล้วว่า ไม่ต้องการอะไร อยากจะเข้าไปดูชมเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น”
เหล็กไหล
คุณสิทธา เชตวัน และคุณทองทิว สุวรรณทัต กำลังนมัสการถามเรื่อง เมืองพญานาค และเมืองนรก จากหลวงปู่คำคะนิง ที่ถ้ำคูหาสวรรค์
“เหล็กไหลมีไหมครับ”
“หลวงปู่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้”
“เหล็กไหลเป็นของมีจริงไหมครับ”
“เป็นธาตุอย่างหนึ่งมีจริง หลวงปู่เคยพบในถ้ำบ่อย ๆ เหล็กไหลเป็นของลึกลับศักดิ์สิทธิ์ มีพวกยักษ์รักษา ยักษ์นี้เป็นเทวดาพวกหนึ่งมีฤทธิ์มาก หลวงปู่เป็นพระไม่อยากได้ เพราะไม่รู้จะเอาไปทำไม”
“บางทีหลวงปู่นั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำ พวกยักษ์เขาลองใจให้เหล็กไหลหล่นลงมาใส่ในบาตรดังป๊อก หลวงปู่หยิบดูรู้ว่าเป็นเหล็กไหลก็พูดดัง ๆ บอกกล่าวว่า เอากลับคืนไปเถอะ ไม่อยากได้ เพราะเหล็กไหลหรือสิ่งกายสิทธิใด ๆ ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้”
“พวกยักษ์เขาก็เอาเหล็กไหลกลับคืนไป รู้สึกเขาพอใจมาก อนุโมทนาสาธุการกันในปฏิปทาของหลวงปู่ที่แน่วแน่มั่นคงในพระธรรม ไม่เกิดกิเลสความอยากได้ในสิ่งอื่นใด นอกจากพระธรรมอย่างเดียว”
“เรื่องเหล็กไหลนี้แล้วแต่วาสนาบารมี ถ้าใครมีวาสนาบารมีก็ได้เอาง่าย ๆ พวกที่ใช้วิชาอาคมแก่กล้าไปตัดเอาเหล็กไหลมาได้ ส่วนมากมักจะแพ้ภัยตัวเองในภายหลัง ถ้าเหล็กไหลไม่หนีกลับ ก็อาจมีอันพบกับความเสื่อมทรามวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งจนได้”
แค่นี้ก่อน
หลวงปู่คำคะนิงเพิ่งอยู่ในระยะพักฟื้นหลังป่วยหนัก ท่านจึงไม่สามารถพาคณะของเราไปพิสูจน์เมืองพญานาคที่ถ้ำมืดได้ แต่ท่านได้รับปากว่า เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว หากคณะของเราไปนมัสการท่านอีก ท่านจะพาไปพิสูจน์เมืองบาดาลของพญานาคให้เห็นจริงเห็นจัง
ปัญหามีอยู่ว่า คณะของเราจะมีจิตใจกล้าหาญ กล้าเสี่ยงความตายลงไปในพิภพบาดาลกับท่านหรือไม่เท่านั้น เพราะการลงไปจะต้องเผชิญกับอากาศที่ไม่มีสำหรับหายใจ ต้องย่ำวนเวียนอยูในถ้ำเป็นเวลาหลายวันไม่มีกำหนดอาจหลงทางอดอาหารตาย
ประการสำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีศีลบริสุทธิ์ และได้สมาธิจิตอยู่ในขั้นควบคุมจิต ประคองจิตรักษาจิตได้ ถ้าขาดสมาธิก็ขาดกำลังใจ อาจตกใจหวาดกลัวจนเสียสติกลายเป็นบ้าเอาได้ง่าย ๆ
เพราะการเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกลับใต้พื้นพิภพเช่นนั้น เป็นความเงียบสงัดเหมือนเราท่านเข้าไปนั่งอยู่ในอุโมงค์เก็บศพ ประดุจหนึ่งเราท่านเป็นคนตายแล้ว ร่างกายไม่สามารถจะเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายใด ๆ ได้เลย ถึงมีอาวุธปืนทันสมัยไม่แน่ว่าจะป้องกันอันตรายได้ เพราะในถ้ำลึกลับอาถรรพณ์เช่นนั้น จะมีภัยอันตรายอะไรบ้างที่เราไม่รู้ได้และป้องกันไม่ได้ เราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย
อาวุธเครื่องป้องกันอันตรายมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ จิตบริสุทธิ์ มีเมตตาไม่ปรารถนาเบียดเบียนส่ำสัตว์ใด ๆ ให้เดือดร้อนลำบาก จะต้องแผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลา มีกำลังสมาธิจิตเข้มแข็งควบคุมตนเองได้เฉียบขาด
พร้อมที่จะ “ตาย” ได้ตลอดเวลา ไม่อาลัยใยดี หากเป็นคราวเคราะห์กรรมส่งผล แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวเคราะห์กรรม “พระธรรม” ประจำใจที่เราปฏิบัติอยู่ ย่อมคุ้มครองป้องกันภยันตรายให้เอง
ใคร่ขอเรียนว่า เรื่องเหล่านี้ ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ให้ช่วยกันค้นคิดหาเหตุผลพิสูจน์ออกมา เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับอนุชนรุ่นหลัง
ถ้าสิ่งเร้นลับเหล่านี้ไม่มี จงพิสูจน์ออกมาให้ได้ว่า เพราะเหตุใดมันถึงไม่มี
ลองกับเสือ
หลวงปู่คำคะนิงเคยเผชิญหน้ากับเสือ ช้างและสัตว์ป่าดุร้ายมามาก สัตว์เหล่านี้จะหลีกหนีไปไม่คุกคามข่มขู่แต่อย่างใต
แต่มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่ถูกเสือคุกคามทำร้ายเอาถึงเลือดตกยางออก แต่ท่านถือว่าเป็นกรรมเก่าที่จะต้องรับเอาไว้ ท่านจึงไม่ถือสาขุ่นเคืองเสือตัวนั้น
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า
“อาตมาจำพรรษาอยู่หลายถ้ำจำไม่ไหว มันมากถ้ำด้วยกัน ภูอีด่าง ภูข้อง ภูผาหมอน เวินบึก คันไฮ นาเรินคำมะไร ลานหม้อขาง แดนเสือ ดงช้าง อาตมาเคยอยู่มาแล้วทั้งนั้น ไม่เคยมีเรื่อง”
“วันที่จะมีเรื่องนั้น อาตมาธุดงค์มาจากภูปัง วันนี้เป็นเวลากลางวัน อาตมานั่งพักอยู่กลางลานดินในป่าโปร่ง ได้ยินเสียงเสือโคร่งมันร้องคำรามดังกระหึ่ม”
“อาตมาก็แปลกใจที่เสือมันออกหากินในป่าโปร่ง ซึ่งแถวนั้นไม่มีสัตว์ป่า พอที่จะให้มันล่า เพราะอยู่ใกล้หมู่บ้านคน อาตมาก็เหลียวมองไปทางเสียงมันร้อง”
“มันเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ประมาณ 9 ศอก ตัวมันอ้วนกลมใหญ่ไม่ใช่เสือผอม แสดงว่ามันเป็นเสือดุร้ายหากินเก่งบ่อดอยาก ”
“พอเห็นอาตมาเหลียวมองไปสบตามันพอดี เสือตัวนั้นก็หมอบลงทันที อาตมาก็หันหน้าไปเผชิญมัน”
“แต่อาตมาหลับตาลง หลับไม่มิดนะ หรี่ ๆ ตาคอยดูซิว่ามันจะทำอย่างไร”
“ขณะเดียวกัน อาตมาก็กำหนดลมหายใจ เดินลมเข้าว่าพุท เดินลมออกว่าโธ คือเจริญภาวนาพุทโธ ๆ ๆ นั่นแหละ”
“พอเห็นอาตมานั่งหลับตาลง มันก็เดินเข้ามาส่งเสียงขู่คำรามดังฮึ่ม ๆ อาตมาก็หรี่ตาดู ในใจนั้นไม่ได้นึกกลัวเลย”
“เป็นแต่เพียงสงสัยในจริตกิริยาของเสือตัวนี้ว่า มันจะเอายังไง อาตมาก็เจริญภาวนาอานาปานสติไปเรื่อย ๆ เป็นปรกติ”
“เพราะคำภาวนาว่า พุทโธนี้เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นคาถารวบยอค คือพระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ย่อลงแล้วมารวมอยู่ที่ พุทโธ ตัวเดียวเท่านั้น”
“เสือสางคางแดง ภูตผีปิศาจและสัตว์ร้ายทุกชนิดในป่ากลัวพระพุทโธอย่างที่สุด”
“เสือโคร่งใหญ่ตัวนั้น พอมันเข้ามาใกล้ มันก็หยุดยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า พออาตมาลืมตาขึ้นเผชิญมัน คือจ้องนัยน์ตามันอย่างเต็มที่ มันก็รีบหมอบลงทันที อาตมาก็นึกขำอยู่ในใจ จึงหรี่ตาลงอีกแอบดูอยู่”
“พอเห็นอาตมาหลับตาลง มันก็เดินอ้อมร่างอาตมารอบหนึ่ง ส่งเสียงขู่คำรามอยู่เรื่อย ๆ ”
“แล้วมันก็หยุดลง ใช้หางแหย่มาที่เอวข้างซ้ายอาตมา มันทำขยุกขยิกคล้ายคนเอามือมาจี้สีข้างอย่างนั้นแหละ”
“อาตมาจั๊กจี้จนเกือบหัวเราะออกมา แต่ข่มใจยั้งปากไว้ได้ทัน เสือตัวนี้มันเล่นพิเรนแท้ ๆ อาตมาก็พยายามวางเฉย กำหนดลมหายใจเข้าออกพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ ”
“ดูมันไป ไม่อยากจะใช้กระแสจิตบังคับอะไรมันให้อยู่ในอำนาจของเรา ปล่อยมันทำไปตามสบาย ว่างั้นเถอะ มันก็ได้ใจใหญ่ เดินอ้อมเอาหางมาแหย่เอวด้านขวาอีก”
“เมื่อเห็นอาตมานั่งนิ่งเฉยเป็นขอนไม้ ไม่ไหวติง ไม่จั๊กจี้ดิ้นรนหวั่นไหว มันก็เดินอ้อมมาหยุดตรงหน้าอาตมา แล้วส่งเสียงคำรามดังสนั่นปานแก้วหูจะแตก คล้ายมันจะโกรธนั่นแหละที่เอาชนะตบะของอาตมาไม่ได้”
“มันเลยหันหลังให้เอาตีนหลังทั้งสองข้างตะกุยดินตะกุยก้อนหินใส่อาตมา ก้อนหินขนาดเขื่องก้อนหนึ่งกระเด็นมาถูกหัวคิ้วอาตมาแตก เลือดไหลออกมาอาบหน้าแดงฉานทีเดียว แล้วเสือตัวนั้นก็กระโดดเข้าป่าหนีไป”
“อาตมาเจ็บปวดมาก แผลรู้สึกว่าจะลึกถึงกระดูก แต่อาตมาก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองมันแต่อย่างใด ถือว่ามันเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามมาทวงหนี้กรรม ซึ่งอาตมาก็ต้องยอมรับเอาไว้แล้วแผ่เมตตาจิตส่งไปให้มัน”
“อโหสิกรรมให้มัน ขอให้กรรมเวรหมดสิ้นกันเพียงแค่นี้ ในชาตินี้ อาตมาไม่คัดเลือด นั่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เลือดมันหยุดไหลไปเอง แล้วจึงไปล้างหน้า”
ในขณะที่เสือส่งเสียงขู่คำราม ใช้หางแหย่จั๊กจี้สีข้างอยู่นั้น ถ้าหลวงปู่คำคะนิงทนไม่ไหวส่งเสียงหัวเราะออกมาหรือเขยึ้อนเคลื่อนไหว เสือจะทำประการใด
หลวงปู่คำคะนิงให้คำตอบว่า
“ถ้าเราแสดงอาการหวาดกลัวหรือจั๊กจี้ เคลื่อนไหวส่งเสียงหัวเราะออกมา จะถูกเสือโผนเข้าตะครุบขบกัดกินทันที สัญชาตญาณของเสือจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันคิดว่าคนจะต่อสู้ทำอันตรายมัน”
“แต่ตามปกตินั้น แม้แต่คนนอนหลับอยู่ในป่า เสือมันพบเข้ามันก็ขบกัดลากเอาไปกินก็เคยมี”
“ในกรณีของอาตมานั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติง ไม่สนใจที่มันยั่วยุ แสดงว่ามันลองใจดู มันรู้ด้วยว่าอาตมาเป็นพระผู้เจริญศีลภาวนา ไม่เป็นภัยอันตรายกับสัตว์ใด ๆ มันเลยไม่ขบกัดกิน”
“แต่ที่มันตะกุยก้อนหินใสหน้าอาตมาจนแตกเลือดไหลนั้นสันนิษฐานได้เป็นสองกรณี”
“หนึ่งเป็นเพราะเสือกับอาตมามีกรรมเก่าพัวพันกันมา”
“สองอาจเป็นเพราะสันดานของเสือมันดุร้ายชอบเบ่ง ถือว่ายิ่งใหญ่เหนือสัตว์ป่าใด ๆ เวลามันลงกินน้ำที่ไหน มันก็จะหันหลังตะกุยดินใส่น้ำให้ขุ่นหลังจากมันกินน้ำอิ่มแล้ว”
“เพื่อแสดงนิสัยพาลของมันคือกลั่นแกล้งสัตว์อื่นที่จะลงกินน้ำทีหลัง มันตะกุยหินใส่หน้าอาตมาอาจเป็นเพราะมันโกรธมันเบ่งใส่ก็ได้”
หลวงปู่คำคะนิง สร้างพลังจิต กระทำสมาธิภาวนา ด้วยการเจริญอานาปานสติเป็นมาตรฐาน คือการเดินลมเข้า - ออก ภาวนาพุทโธนั่นเอง
“การฝึกจิต ต้องฝึกอานาปานสติก่อน อานาปานสติเป็นกรรมฐานกองใหญ่และยากที่สุด”
“กรรมฐาน 40 กอง อานาปานสติสำคัญที่สุด ฝึกยากที่สุด”
“ถ้าใครได้กรรมฐานอานาปานสติแล้ว กรรมฐานอื่น ๆ ทำได้ง่ายมาก หากใครไม่ได้อานาปานสติเสียอย่างเดียว กรรมฐานอื่น ๆ ก็ไม่มีความหมาย”
“ถ้าใครมาบอกว่า เขาไม่ได้อานาปานสติ แต่เขาได้กรรมฐานกองอื่น ๆ อีก 39 กอง อันนี้อย่าไปเชื่อ เพราะเชื่อไม่ได้”
“เราจะเล่นกสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 และอาหาเรปฎิกูลสัญญา จตุธาตุวัฏฐาน หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช้อานาปานสติควบคู่ไปด้วยแล้วไม่มีทางจะได้ผล”
“เพราะอานาปานสติเป็นกรรมฐานขั้นพื้นฐานใหญ่ที่สุดเป็นตัวนำของกรรมฐานทั้งหมด”
หลวงปู่คำคะนิงกล่าว ดังนั้นท่านจึงเจริญภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานสติเป็นสุขวิหารธรรมอยู่เสมอ
เงาจิต
หลวงปู่คำคะนิงท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องโลกวิญญาณ คือโลกหลังความตาย อันเป็น “โลกทิพย์” หรือ “ทิพยภูมิ” จะเรียกว่าปรโลกได้ทั้งนั้น
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า
หลังจากออกพรรษาแล้วปีพ.ศ. 2523 หลวงปู่คำคะนิง ยังคงอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงอำเภอบ้านด่าน จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านตั้งใจจะเข้าฌานสมาบัติสัก 15 วันเพื่อเป็นการแผ่กุศลอานิสงส์สนองความดีของทายกทายิกาผู้สงเคราะห์ท่านตลอดมาในฤดูกาลพรรษา
ฉะนั้นหลวงปู่คำคะนิงจึงประกาศสั่งทายกทายิกาไว้ มิให้ขึ้นมาทำบุญตักบาตรหรือรบกวนในระหว่าง 15 วันที่ท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่นั้น แต่ให้ขึ้นมาทำบุญตักบาตรได้ในวันที่ 16
หลวงปู่คำคะนิงเคยบำเพ็ญเพียรภาวนาอดอาหาร 7 วันและ 15 วันมาตั้ง 40 ปีแล้วจนร่างกายเคยชินถือเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายไม่อ่อนเพลีย หิวโหย แต่อย่างใด
หลวงปู่คำคะนิงอดอาหารได้อย่างไร
หลวงปู่ให้อรรถาธิบายว่า
ก่อนเข้าสมาธิภาวนาจะต้องกำหนดไว้ก่อนว่า เราจะเข้าสมาธิลึกขั้นอัปปนาสมาธิ ระคับฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 4 เป็นเวลากี่วันกี่คืน
เมื่อกำหนดได้แล้ว ก็เข้าสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ จากนั้นก็ถอยจิตออกมาอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิระดับที่ใช้ความคิดพิจารณาได้
พอถอยมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิแล้วก็น้อมจิตอธิษฐานว่าจะเข้าฌาน 7 วันหรือ 15 วัน ก็อธิษฐานลงไปเลย (พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ไม่ให้เข้านานวันจนเกินไป เพราะเป็นการทรมานสังขาร )
เมื่ออธิษฐานจิตแล้ว ก็เข้าสมาธิลึกถึงขั้นอัปปนาฌานที่ 4 เลยทีเดียว จะเลยขึ้นอรูปฌานก็ได้
หลวงปู่คำคะนิงบอกว่าอรูปฌานทำได้ไม่ยาก ขอให้ทำฌาน 4 ได้สำเร็จก่อนให้ชำนาญก็แล้วกัน
จากนั้นค่อยฝึกอรูปฌาน 4 ต่อ ไม่กี่วันก็ทำสำเร็จหมด เพราะอารมณ์ของอรูปฌานก็ใช้ฌาน 4 เป็นมาตรฐานนั่นเอง
เพียงแต่ว่าเราเพิกกสิณให้หายไปเสีย แล้วยกเอาอรูปกรรมฐานทั้ง 4 มาพิจารณา คือ อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อทำอรูปฌานได้ครบทั้ง 4 แล้ว เรียกว่าอรูปสมาบัติ เมื่อรวมกับรูปสมาบัติ 4 เข้าก็เรียกรวมกันว่าสมาบัติ 8
ผู้ได้ถึงสมาบัติ 8 ย่อมมีอำนาจพลังจิตมหาศาล และมักจะได้อภิญญา 5 ในข้อหนึ่งข้อใดหรืออาจได้ครบหมดทั้ง 5 ข้อก็ได้ สุดแท้บุญบารมีที่เคยสร้างสมมาแต่ปางก่อนเกื้อหนุน
พระโบราณาจารย์สมัยโบราณท่านกล่าวว่า
ผู้ที่ได้สมาบัติ 8 แล้ว ถ้าเจริญวิปัสสนาญาณสืบต่อใช้เวลาเพียงชั่วแค่เคึ้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็นพระอรหันต์
แต่หลวงปู่คำคะนิงท่านปฏิเสธว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นเพียงพระภิกษุผู้เพียรปฏิบัติอยู่ในร่องรอยของพระพุทธศาสนา
การเข้าสมาธิภาวนาจนถึงระดับฐานดังกล่าวนี้ เมื่อเข้าฌานจนครบ 7 วันหรือ 15 วันแล้วออกจากฌาน
หลวงปู่คำคะนิงบอกว่า จะไม่รู้สึกหิวอาหาร ไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลย ร่างกายและจิตใจจะมีแต่ความกระปรี้กระเปร่า ชุ่มชื่นเบิกบาน เหมือนอิ่มอาหารทิพย์
เพราะตลอดเวลาที่เข้าฌานอยู่นั้น จิตใจอยู่ในสภาวะสะอาดผ่องแผ้ว บริสุทธิ์ สว่าง สงบแน่วนิ่ง กระจายพลังงานอันมหาศาลครอบคลุมสังขารร่างกาย
ทำให้ได้รับกระแสปราณจากธรรมชาติอย่างเต็มที่จึงทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนเพลีย หิวโหย
แต่คราวนี้หลวงปู่คำคะนิงกล่าวว่า ท่านประมาทไป ไม่สนใจร่างกายของตน ที่เจ็บไข้ออดๆ แอด ๆ มาตลอดพรรษาด้วยโรคชรา (อายุ 86 ปีแล้ว) และไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ให้ร่างกายเข้มแข็งตลอดรอดฝั่ง
ดังนั้น เมื่อท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงไปได้ 10 กว่าวัน ด้วยการไม่ขบฉันอาหารอะไรเลย
ปรากฏว่าสังขารทนไม่ไหวหัวใจหยุดเต้นไปเฉย ๆ มีความรู้สึกว่าร่างกายสังขารสะท้านเฮือกอย่างแรง แล้วความรู้สึกก็ละเอียด ๆ ลงไป
ท่านรู้ได้ด้วยสติปัญญาว่า โอหนอ...สังขารของเราถึงกาลแตกดับเสียแล้ว แต่สติท่านยังดี ไม่ได้ตื่นตกใจหวาดกลัวความตายแต่อย่างไร
กำหนดลมหายใจอานาปานสติอยู่สม่ำเสมอ แม้จะหมดลมหายใจแล้ว แต่จิตยังจับอารมณ์อานาปานสติอยู่นั่นเอง
“การเจริญอานาปานสตินี้ดีมาก เวลาจะหมดลมหายใจตายไป อาตมายังมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ รู้เท่าทันว่า ตอนนี้ลมหายใจเข้าออกของเราหมดแล้ว เรามีสภาพเป็นคนตายแล้ว”
“อาตมารู้สึกว่า จิตมันวูบออกจากร่างไป สติมันตามทันปั๊บเลย”
“มหาสติปัฏฐานที่ได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี มีประโยชน์ตอนจะตายนี้แท้ ๆ เวลาจะตายก็รู้ว่าเราจะตาย ไม่เสียสติตกใจกลัว สติตามรู้เท่าทันจิตทุกขณะจิตเลย”
“เหมือนเราเดินออกจากบ้านไป มีเงาของเราติดตามไปทุกฝีก้าวนั่นแหละความตายมันเป็นอย่างนั้น ความตายไม่ใช่การดับสูญ อันนี้หลวงปู่ขอยืนยัน”
หลวงปูค่ำคะนิงวัย 86 กล่าว ประกายตาสีฟ้าอมเขียวสุกใสของท่านแวววาวคล้ายลูกปัด
โบราณาจารย์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า พระภิกษุที่สำเร็จธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งนั้น นัยน์ตามักจะออกลีฟ้าแวววาวหรือสีเขียว จะไม่ขุ่นมัวไปตามวัยเลย

ทีมาhttp://www.dharma-gateway.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น