วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

กรรมที่ส่งผลกับรูปร่าง, เค้าโครง ลักษณะของใบหน้า และผิวพรรณ ในมุมมองพระพุทธศาสนา

เราได้ยินผู้หญิงบางคนมักพูดเวลาเห็นคนที่สวย ๆ ว่าสวยจัง ไม่รู้ไปทำบุญอะไรมา  เราพยายามนั่งวิเคราะห์ตามความรู้ที่ร่ำเรียนมา และลองมาสรุปให้สาว ๆ พุทธศาสนิกชน ที่รักสวยรักงามห้องเครื่องแป้งและชาวพุทธได้เห็นภาพเหตุ และผล ในพระพุทธศาสนากันค่ะ

ผลกรรมกับโครงหน้าและสภาพผิว ที่เราเรียบเรียงต่อไปนี้ เราย่อมาจาก ลักขณสูตร ในพระไตรปิฎก และจากพระสูตรอื่นบ้าง เราใช้เวลาตอนตีสี่นี้เรียบเรียงมานี้เป็นเพียงบางสาวนเท่านั้น หากเพื่อนสมาชิกท่านใดต้องการทราบรายละเอียดของกรรมกับใบหน้าทั้งหมด รวมถึงชะตาชีวิต สามารถอ่านได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างค่ะ แต่การสรุปกรรมย่อต่อไปนี้ เราหวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อน ๆ ที่ต้องการความงาม ความสวยค่ะ จะได้คำตอบในทางพุทธว่า แต่ละคนที่สวย เค้าทำอะไรมาบ้าง


ชาติก่อนเป็นคนโกรธง่าย แค้นเืคือง พยาบาทอาฆาต เวลาโกรธแล้วแสดงอาการโกรธออกมาให้เห็น ขาดความอดกลั้น ไม่มีขันติ ไม่ถวายจีวร หรือให้เสื้อผ้าสวย ๆ เป็นทานแ่ก่คนอื่น = ชาตินี้ ผิวตกกระ ผิวพรรณไม่ผุดผ่อง รูปร่างหน้าตามองแล้วไม่ Wow! ไม่จำเป็นต้องผิวขาวเสมอไป ผิวคล้ำ ผิวสีน้ำผึ้งก็ดูสวยได้ แต่ผิวคนนี้จะไม่สวย ตัวอย่างในครี้งพุทธกาล พระนางมัลลิกาท่านขี้เหร่ แต่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ดูจะไม่ค่อยสมกัน เพราะทำกรรมมที่ต่างกัน การที่นางมีวาสนาบารมีเหนือนางสนมทั้งหลายก็เพราะบุญจากที่นางไม่เป็นคนขี้อิจฉา (คนขี้อิจฉาเกิดใหม่มาจะต่ำศักดิ์) แต่ชาติก่อนนางคงโมโหเป็นไฟ จึงไม่งดงามเหมือนคนอื่น ๆ ( อ่านเรื่องของนางที่ลิ้งค์ด้านล่างค่ะ อย่าท้อใจเพราะข้อจำกัดทางภาษานะคะ ทุกบทในพระไตรปิฎกถ้าตั้งใจอ่าน จะได้สัมผัสบรรยากาศเวลาที่สนทนากับพระพุทธเจ้าค่ะ เราเองยังอ่านจนชิน จนคล่อง ทำให้เข้าใจธรรมะหลาย ๆ เรื่องโดยไม่ต้องถามใครเวลาใช้ชีวิตสิ่งที่เราเรียนรู้มาจึงเป็นที่ปรึกษาให้กับเราค่ะ )


ชาติก่อนเป็นคนอ่อนโยน น่ารัก ไม่โกรธง่าย มีขันติ ใจเย็น = ชาตินี้จะผุดผ่อง สว่าง ใส น่ารัก ดูเปล่งประกาย แค่นั่งมองหน้าก็เพลิน แก้มเนียน ใบหน้าหวาน คม สวย ผ่อง สว่าง เห็นแล้วอยากเอาจมูกไปชน เคยพบใครแล้วแค่มองหน้าเค้า เห็นตาหวาน ๆ หน้าสวย ๆ แล้วรู้สึกสดชื่นไหมคะ มาจากจิตที่ใส อ่อนโยน และไม่มีความโกรธนั่นเองค่ะ อันนี้เราเห็นกันได้ง่าย ๆ เวลาคนโกรธ หน้าจะบิดเบี้ยว ยู่ยี่ แต่ถ้าอารมณ์ดี เลือดลมสูบฉีดหน้าตาเปล่งปลั่ง หากใครไม่เชื่อเรื่องของกรรม เชื่อเรื่องของกายภาพก็ได้ค่ะ คนขี้โมโหหน้าจะแก่ไว โรคภัยถามหา แต่คนใจเย็นหน้าจะใสอิ่มสว่าง ผิวนวล 

ชาติก่อนเป็นคนมองตาขวางใส่คนอื่นเวลาโกรธ หรือชอบมองค้อน = ชาตินี้ดวงตาจะไม่สวย ตาเหลือก ตาโปน ตาเหล่หน้าเบี้ยว

ชาติก่อนเป็นคนสบตาคนตรง ๆ ด้วยสายตาที่อ่อนโยน ไม่มองค้อน = ชาตินี้ดวงตาจะมีโครงโค้งมนตวัดสวย ตาใสวิ๊ง คนจะหลงรัก หลงสเน่ห์ แม้เพียงได้มองตาก็ชอบ เพราะสบตาแล้วสดชื่น

ชาติก่อน เวลาใครทำความดี ชอบทำหน้าหมั่นไส้ใส่ ( ประมาณว่า ยักคิ้วหลิ่วตา ทำปากแบบ "ชิส์ ก็ไม่รู้สินะ" ทำหน้าตาปาเผยอ มองตวัด) ชาตินี้เกิดมาทำอย่างไรได้อย่างนั้น ปากเบี้ยว จมูกแหว่ง ปากโต คางยื่นคางใหญ่ มาเป็นพรวน แล้วแต่ว่าตอนทำ ไปเบ้ปากขยิบตาท่าไหน จะได้ใบหน้ามาแบบท่านั้น สมกับกรรมที่ไปดูถูกคนทำความดีไว้ วิธีแก้ เวลาเห็นใครทำความดีหรือได้ดี ให้ฝึกพลอยยินดีฝึกมีน้ำใจนักกีฬา ยอมรับว่าเค้าได้ดีก็เพราะเค้าทำสิ่งดีนะ และถ้าเค้าทำดีก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ยกจิตใจตัวเองให้สูงขึ้น ชีวิตก็จะสูง การอยู่กับความอิจฉา มันทำให้เราไม่มีวันเป็นที่ถูกอิจฉา

ชาติก่อนเป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อ = ชาตินี้คางจะผิดรูป ในทางโลก พูดจาคนจะไม่เชื่อ แม้ว่าจะจริง จะถูก เพราะชาติก่อนพูดพร่ำเพรื่อไม่น่าฟัง น่ารำคาญไว้เยอะ ชาตินี้ต้องประสบปัญหาศัลยกรรมกราม มีปากไว้ใช้พูดสิ่งมีประโยชน์กับชีวิต เอาไปพูดอะไรไม่เป็นท่า กรามที่เป็นฐานของปากก็มีสภาพไม่เป็นท่า ไม่น่าดูไม่ต่างกัน และจะเป็นคนไม่มีอำนาจ ไม่มีคนยำเกรง พูดแล้วคนไม่ให้ความสำคัญ แม้จะพูดดี พูดถูก คนที่มีกรรมเรื่องนี้ก็จะเหมือนไม่มีตัวตนในสายตาคนอื่น แม้ว่าจะตะโกนบอกสิ่งที่มีค่า คนก็จะบอกว่าเธอพูดอะไรไร้สาระช่วยหุบปากได้มั้ย มีแฟน แฟนไม่ฟัง มีลูก สอนลูกไม่ได้ มีลูกน้อง บอกให้ทำอย่างเขาจะทำอีกอย่าง

ชาติก่อนเป็นคนพูดจานินทาว่าร้าย = ชาตินี้ฟันจะไม่เป็นระเบียบ ช ในทางโลก คบใคร มีเพื่อนฝูงสนิทแค่ไหน อยู่ ๆ จะมีเรื่องให้แตกกันโดยใช่เหตุ รักใคร ต้องจากคนนั้นไปอย่างเจ็บปวด ถูกแย่ง ถูกใส่ร้าย วิธีแก้ ต้องพูดจาให้คนรักคนสามัคคีกัน หยุดเอาเรื่องไม่ดีของคนอื่นไปพูดต่อ เจ็บแค่ไหนให้เงียบ ให้กรรมจัดการเค้าเอง เวลาผ่านไปเราจะได้สมปรารถนาคูณสี่คูณห้า โดยไม่ต้องแปดเปื้อน

ชาติก่อนเป็นคนพูดโกหก = ชาตินี้เวลาจะพูดต้องเผยอปาก ไม่อย่างนั้นจะออกเสียงไม่ชัด ชาตินี้พูดจาคนจะไ่ม่เชื่อถือ และจะถูกใส่ความ ให้ร้าย ทั้งที่ไม่มีมูล บางคนอาจต้องขึ้นศาลหรือติดคุกฟรี ทั้งที่ไม่มีความผิด

ชาติก่อนเป็นคนพูดจาอ่อนโยน ไม่หยาบกระด้าง = ชาตินี้เสียงจะเพราะ หวาน นุ่มนวล ชวนฟัง ได้ยินแล้วเคลิ้ม ลิ้นจะไม่ลีบ

ชาติก่อนเป็นคนให้ทานด้วยศรัทธา = ชาตินี้รูปร่าง สัดส่วน จะสวยเพรียว ได้รูป ในทางโลกจะร่ำรวยมั่นคง มีทรัพย์ ไม่ต้องลำบากหาเงินทองเหมือนคนอื่นแต่ก็กลับมีกินมีใช้มากกว่า

ชาิติก่อน ชักชวนคนอื่น ๆ ในการทำดี ในการดูแลพ่อแม่ ในการทำบุญทำุกุศล ชาตินี้ โครงกะโหลกศีรษะจะดูสวย สง่า ไม่ยุบ ไม่แบน หัวไม่ลีบ

ชาติก่อน ไม่พูดจาเพ้อเจ้อชวนคุยไร้สาระ พูดจามีเหตุผล เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ = ชาตินี้ คางจะสวย มน ได้รูป ในทางโลก พูดอะไรคนจะเชื่อถือให้ความเคารพ

ชาติก่อน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำลายแม้แต่มดหรือยุง = ชาตินี้นิ้วมือจะยาว เรียวสวย อายุยืน โรคน้อย นาน ๆ หาหมอครั้ง นิ้วมือนิ้วเท้านิ่มนวล น่าสัมผัส ส่วนใครที่ชอบตบมดตบยุง ตกปลาฆ่าสัตว์ ถ้าลองจับมือจะรู้สึกว่าสัมผัสหยาบ ๆ แข็ง ๆ 

ชาติก่อน ไม่ผิดลูก ผิดเมีย ผิดผัวใคร = ชาตินี้ แม้จะหน้าตาธรรมดา ไม่ได้ทำบุญอย่างอืนมา แต่ถึงจะนั่งเฉย ๆ แต่งตัวปอน ๆ ก็ตาม คนนั้นกลับดูดี ดูน่าเข้าหาเหมือนมีมนต์สะกด เข้าไหนเขาได้ ไม่มีคนรังเกียจ ทำการงานไม่มีศัตรู ผู้หญิงหลง ผู้ชายรัก ชีวิตคู่ราบรื่นสมหวัง แต่ถ้าคนไหนทำงานที่ไหน หรือเข้ากับใครแล้วอยู่ ๆ ก็ถูกเพ่งเล็ง ถูกเกลียดชังโดยไม่มีสาเหตุ ให้สันนิษฐานได้เลยว่าทำกรรมข้อนี้มา เพราะผลของการผิดศีลข้อสาม นอกจากจะทำให้ผิดหวังในความรัก เกิดใหม่เป็นกระเทย หลังจากที่พ้นจากนรกแล้ว จะทำให้ถูกเกลียดชังจากผู้อื่นในชาติต่อไปที่ตนเกิดมาด้วย ใครสนใจกรณีศึกษานี้ ขอให้ลองเข้า google หาอ่านเรื่อง "นางอิสิทาสี" นางเจ็บปวดกับความรักเพราะกรรมเก่าจนเกือบตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่บุญเก่าของนางยังมี จะไม่เล่าในที่นี้

ชาตินี้ ถ้ารักษาศีลห้า ปฏิบัติธรรม = ชาติหน้า อยากสวยเป็นนางฟ้าชั้นไหน ในทางพระพุทธศาสนานางฟ้ามีจริง เลือกชั้นได้เลยค่ะ แต่ชาตินี้ต้องทำความดีเท่านั้น และการเป็นนางฟ้านั้นมีความสุขมาก เพราะในเทวโลก ผู้หญิงจะดูเป็นสาวรุ่นอายุสิบหกอยู่เสมอ ใครที่ต้องเข้า anti-aging หายกังวลได้

้ถ้าเราต้องการความสวยงาม ตราบที่ยังไม่นิพพาน เรากลับมาเกิดใหม่แน่นอนถ้ายังไม่บรรลุธรรม นอกจาก "ศัลยกรรม" ในชาตินี้แล้ว สาว ๆ อย่าลืมทำ "กุศลกรรม" ในชาตินี้ ไว้เป็นต้นทุนด้วยนะคะ เพราะชาิติต่อไป  ใบหน้านี้ รูปร่างกายนี้ ก็จะไม่ได้ตามไปด้วยแล้ว มีคำพูดว่า ทำดีสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้ การทำหน้า จะอยู่กับเราชาติเดียว แต่การทำดี ผลของความดี จะติดตามเราไปทุกภพชาติค่ะ


นอกจากรูปร่างหน้าตาจะเกิดเพราะผลกรรมแล้ว สิ่งอื่น ๆ ในชีวิต ที่ต้องประสบพบก็เพราะบุญกรรมด้วยเช่นกัน ตามคติในศาสนาพุทธ เราจึงขอเสริมไว้เพื่อเป็นความรู้ ณ ที่นี้ให้เพื่อน ๆ ค่ะ

อนึ่งมนุษย์ที่มีสภาพแตกต่างกันนั้น มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย แสดงไว้ว่า

ฆ่าสัตว์ ไม่มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุสั้น

ไม่ฆ่าสัตว์ มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุยืน

เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคมาก

ไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคน้อย

มักโกรธ มีความคับแค้นใจมาก เป็นเหตุให้ ผิวพรรณทราม

ไม่โกรธ ไม่มีความคับแค้นใจ เป็นเหตุให้ ผิวพรรณผุดผ่อง

มีใจประกอบด้วยความริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพน้อย

มีใจไม่ริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพมาก

ไม่บริจาคทาน เป็นเหตุให้ ยากจน อนาถา

บริจาคทาน เป็นเหตุให้ มีโภคสมบัติมาก

กระด้าง ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลต่ำ

ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลสูง

ไม่อยากรู้ ไม่ไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญาน้อย

อยากรู้ หมั่นไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญามาก


ีปีใหม่นี้ วันที่สามสิบเอ็ดวันพระด้วย ชวนเพื่อน ๆ รักษาอุโบสถศีลกันหนึ่งวันค่ะ รักษาอย่างไร ลองศึกษาจาก google นะคะ เป็นศีลใหญ่ รักษาวันเดียว เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้เลยค่ะ



ยังมีอีกมาก แต่ตอนนี้ตาเริ่มล้าแล้ว ลองศึกษาเรื่องกรรมกับรูปร่างหน้าตาเพิ่มได้จากที่นี่นะคะ แหล่งอ้างอิง ลักขณสูตร จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ อ่านไม่ยาก ค่อย ๆ อ่านทำความเข้าใจทีละประโยคค่ะ ได้รู้วิธีสวย ได้ธรรมะด้วย
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=11&A=3182
อรรถกถา (คำอธิบาย)
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=130


สำหรับเพื่อน ๆ ที่สงสัยว่านางฟ้ามีจริงหรือเปล่า รูปร่างจะสวยไหมหรือหน้าตาเป็นอย่างไร มีบันทึกไว้ค่ะ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ ปิฐวิมาน ที่ ๑
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=26&A=0
   อรรถกถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=1


เรื่องพระนางมัลลิกา เริ่มตั้งแต่ข้อที่ ๑๙๗ 
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=4991&Z=5844&pagebreak=0
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=191



บางคนที่ทำบุญมามาก ๆ จากชาติปางก่อน อาจจะมองข้ามศัลยกรรมไปได้เลยค่ะ เพราะถ้าตามหลักคำสอน ถ้าทำทุกอย่างสมบูรณ์ ลักษณะของบุญกุศล ก็จะแสดงออกมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าโหงวเฮ้งดีด้วย บางคนแค่มองหน้าก็มองออกเลยว่าคนนี้กตัญญู คนนี้โกง คนนี้ใจเย็น คนนี้จะรวย คนนี้จะเป็นหนี้ แต่ไม่ใช่จากการตัดสินคนด้วยใบหน้า แต่เป็นวิชาโหงวเฮ้ง ซึ่งมีอยู่จริง โดยลักษณะของใบหน้าก็เกิดจากบุญบาปที่สร้างมา 

แต่ในเมื่อมีกุญแจไขแล้ว ว่าหน้าตาแบบไหนเกิดเพราะกรรมอย่างไร หากยังรักความสวยงาม เชื่อศรัทธาในเรื่องกรรม เราหมั่นสร้างความดีด้านนั้น ๆ กันค่ะ และสำหรับความดี แม้บางคนอาจจะไม่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับบุญวาสนา แต่อย่างน้อย ความดี ก็เป็นสิ่งสวยงามที่สุด คนมีความดี ชื่อว่ามีเครื่องประดับ ค่ะ ดังภาษิตว่า


"คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า

คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน

คนจะแก่ แ่ก่ความรู้ ใช่อยู่นาน

คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต"



อรุณสวัสดิ์เื่พื่อน ๆ นะคะ ฝันดีค่ะ

ความโกรธ

การเอาชนะใจผู้อื่นด้วยความดี เป็นสิ่งที่บัณฑิตนักปราชญ์ประพฤติกัน เช่นเดียวกับการเอาชนะคนมักโกรธด้วยความไม่โกรธตอบ ซึ่งต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความละมุนละม่อม รู้จักประนีประนอมเพื่อให้เกิดสันติ เมื่อสันติสุขเกิดขึ้นในใจของทุกฝ่าย ก็จะมีการขยายแบ่งปันความสุขซึ่งกันและกัน สันติภาพย่อมบังเกิดขึ้น สันติภาพโลกจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมนุษย์ทุกคนเข้าถึงสันติสุขภายใน ซึ่งสันติสุขภายในที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่ง หยุดนิ่งสนิทอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  ดังนั้น การเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เพื่อให้เข้าถึงสันติสุขภายใน เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเราและชาวโลกด้วย
 
มีวาระแห่งพุทธภาษิตใน โกธนาสูตร ความว่า
 
     “คนผู้โกรธย่อมประพฤติในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ย่อมไม่รู้จักความเจริญ ย่อมมีภัยที่เกิดขึ้นแล้วในภายใน แต่คนผู้โกรธนั้นย่อมไม่รู้สึก เพราะคนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ ไม่เห็นธรรม และย่อมขาดสติ จึงพลั้งพลาดไปก่อกรรมทำเข็ญ ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้”
 
     ความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นประดุจไฟที่คอยเผาลนตนเอง ยิ่งถ้าตอนเกิดความโกรธแล้วระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ก็จะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท อาจถึงเข่นฆ่ากัน หรือทำลายข้าวของเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน และหากอาฆาตพยาบาทกัน ก็จะเป็นการผูกเวรกันต่อไปอีก ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์โกรธ ผลร้ายมักจะเกิดขึ้นเสมอไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ดังเช่นเรื่องของชายผู้มักโกรธคนหนึ่ง ที่ต้องเสียประโยชน์ที่จะพึงได้ไป และยังมีทุกข์ตามมาอีก พระบรมศาสดาทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่ออบรมสั่งสอนพระภิกษุให้พึงสังวร จะได้สำรวมระวัง และเห็นโทษภัยในความเป็นผู้มักโกรธ
 
     * ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นมาณพหนุ่มผู้มีปัญญา สำเร็จการศึกษาในทุกศาสตร์จากเมืองตักสิลา ท่านเป็นผู้มีดวงปัญญาสว่าง รู้ว่าศาสตร์ในทางโลกนั้น ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อศึกษาศาสตร์ทางธรรม โดยบวชเป็นดาบสบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์ จนได้บรรลุฌานสมาบัติ ต่อมาได้มาพำนักอยู่ในพระราชอุทยานในกรุงพาราณสี
 
     รุ่งเช้าท่านได้เข้าไปภิกขาจารในเมือง พระราชาเมืองพาราณสีทอดพระเนตรเห็นทรงเลื่อมใส จึงโปรดให้นิมนต์เข้าไปฉันในพระราชวัง แล้วอาราธนาให้จำพรรษาอยู่ในพระราชอุทยานนั้น พระดาบสรับอาราธนา พระราชาเสด็จไปอุปัฏฐากวันละครั้ง และได้รับโอวาทจากพระดาบสว่า
 
     “ธรรมดามหากษัตริย์ต้องเป็นผู้ไม่มักโกรธ ต้องละเว้นอคติ ๔ และไม่ควรประมาทในการประพฤติธรรม ควรประกอบด้วยขันติธรรม มีเมตตากรุณาในประชาราษฎร์ทั้งปวง และครอบครองราชสมบัติโดยชอบธรรม” พระดาบสมักตอกย้ำประโยคกับพระราชาทุกครั้งก่อนที่จะจากกันว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่โกรธต่อพระองค์เลย เพราะมหากษัตริย์เป็นผู้ให้ความสงบร่มเย็นแก่ปวงประชา ถ้าพระองค์พิโรธแล้ว พสกนิกรจะได้ที่พึ่งแต่ที่ไหน แม้ความเป็นผู้น่าเคารพสักการบูชาของพระองค์ก็จะเสื่อมถอย อาตมภาพขอถวายพระพร”
 
     พระเจ้าพาราณสีทรงเลื่อมใสมาก ยกย่องเทิดทูนพระดาบสเป็นพระอาจารย์ส่วนพระองค์ และพระราชทานปัจจัยไทยธรรมมีค่ากว่าแสนกหาปณะ ทว่าพระดาบสเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์ จึงไม่ยินดีที่จะรับ ท่านพักอยู่ในพระราชอุทยานนานถึง ๑๒ ปี แล้วมีดำริว่า “เราควรไปโปรดมหาชนตามชนบทบ้าง เพื่อให้ผู้มีบุญได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง จะได้มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป” จึงฝากให้นายอุทยานไปกราบทูลพระเจ้าพาราณสี แล้วออกจากพระราชอุทยานไป
 
     เมื่อไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีนายเรือจ้างคนหนึ่งรออยู่ เขาชื่อว่า อาวาริยปิตา เป็นคนมีสันดานหยาบ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เมื่อจะส่งคนข้ามฟากก็ไม่เรียกค่าจ้างก่อน ต่อเมื่อส่งถึงฟากแล้ว จึงเรียกค่าจ้างภายหลัง บ่อยครั้งที่เขาไม่ได้ค่าจ้างตามที่ต้องการ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทชกต่อยกับผู้โดยสาร ดังนี้แล้ว นอกจากจะเป็นผู้ไม่เจริญด้วยทรัพย์ ยังเป็นผู้มากด้วยการผูกเวรอีกด้วย
 
     เมื่อพระดาบสตรวจตราดูอุปนิสัยของเขาแล้ว เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ที่มักเกิดขึ้นกับเขา จึงมีมหากรุณาที่จะสงเคราะห์ ได้วานให้เขาพายเรือข้ามฟากไปส่ง นายเรือถามว่า “ท่านเป็นนักบวช ท่านมีค่าจ้างจะให้เราหรือ”  ดาบสตอบว่า “เรามีค่าจ้างที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์จะให้ เราจะบอกทางเสียทรัพย์และทางได้ทรัพย์ให้แก่ท่าน” จากนั้นเขาก็พาพระดาบสข้ามฝาก
 
     ครั้นส่งถึงอีกฝั่งแล้ว เขาทวงถามค่าจ้าง ด้วยคาดหวังว่าจะได้สิ่งของเป็นเครื่องตอบแทนที่มีค่ามากกว่าเงินทอง แต่พระดาบสกล่าวให้ธรรมทานว่า “ดูก่อนพ่อ หากท่านหวังความเจริญในอาชีพนี้ ท่านจงตกลงราคาค่าจ้างจากคนโดยสารก่อนที่จะข้ามฝาก เพื่อให้เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย จึงจะเป็นการดี จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน ทำให้หลายๆ ครั้งที่ท่านไม่ได้ทรัพย์ เพราะมีการทะเลาะกันเป็นเหตุเสียแล้ว” แม้เขาจะพอรู้ว่าคำสอนนั้นดี แต่เนื่องจากเป็นคนที่มีจิตใจหยาบทราม จึงมุ่งเอาแต่ทรัพย์ไม่เอาคำสอน คิดในใจว่า เมื่อดาบสสอนเราแล้ว เราคงจะได้สิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งจากท่าน
 
     พระดาบสรู้ว่าจิตของเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดรับ เพราะมีความหมองของกิเลสคือความมักโกรธหนาแน่นอยู่ จึงมีจิตอนุเคราะห์ กล่าวต่อไปว่า “ดูก่อนนายเรือจ้าง เราจะให้หนทางสวรรค์แก่ท่าน เพื่อที่ท่านจะได้พ้นจากอบาย ขอให้ท่านจงมีสติระงับความโกรธ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในป่า จะเป็นทางน้ำหรือทางบกก็ตาม ท่านอย่าได้โกรธผู้ใด เป็นอันขาด ครั้นท่านปฏิบัติแล้ว ความเจริญจักมีแก่ท่าน”
 
     ธรรมดาของคนมักโกรธ มักมีดวงปัญญามืดบอด นายเรือหาได้เชื่อฟังไม่ ทวงถามค่าจ้างว่า "ท่านจะให้ทรัพย์แก่เราหรือไม่" ดาบสตอบว่า “สิ่งที่เราให้แก่ท่านนั้น มีค่ามากกว่าทรัพย์เสียอีก เพราะเป็นประโยชน์ใหญ่ในสัมปรายภพของท่านเอง ค่าจ้างคือสิ่งที่เราสั่งสอนนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ท่านตลอดกาลนาน” นายเรือจึงแสดงความฉุนเฉียวบริภาษว่า “เราไม่ต้องการถ้อยคำ เราจะเอาทรัพย์” พระดาบสมีความอดทนพร่ำสอนต่อว่า “ขอท่านจงมีสติเถิด อย่าให้ความโกรธเผาลนท่านเลย ท่านจงระงับโทสะที่เป็นเหมือนเพชฌฆาตประหารตัวท่านเองเถิด”
 
     เขาโกรธจัดจนระงับอารมณ์ไม่ได้ จึงผลักพระดาบสให้ล้มลงที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วชกต่อยพระดาบส พระดาบสผู้มีฤทธิ์ไม่ปรารถนาจะทำร้ายใคร ท่านจึงไม่ต่อสู้ ขณะเดียวกันนั้นเอง ภรรยาของเขากำลังนำอาหารมาให้ เห็นสามีกำลังทำร้ายพระดาบส จึงรีบเข้าไปห้าม เขาพาลไปตบตีภรรยาซึ่งมีครรภ์แก่อีก ทำให้บุตรในครรภ์แท้งไป ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์นั้นกรูกันเข้ามาขวาง จับเขาซ้อมจนกระทั่งโชกเลือด แล้วจับมัดตัวไปถวายพระราชา พระเจ้าพาราณสีทรงพระพิโรธมาก แต่พระดาบสห้ามปรามไว้ พระองค์จึงลงอาญาตามสมควรแก่โทษ
 
     พระบรมศาสดาตรัสเรื่องนี้แล้วทรงสอนว่า เพราะความโกรธยังความพินาศให้กับคนแจวเรือนั้น สำรับกับข้าวแตกกระจาย บุตรในครรภ์ต้องแท้งไป คนแจวเรือนั้นต้องสูญเสียประโยชน์ที่จะพึงได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ภิกษุทั้งหลายได้ธรรมสังเวช จึงได้บรรลุโสดาปัตติผลในเวลาจบพระธรรมเทศนานั่นเอง
 
     เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกท่านมองเห็นทุกข์เห็นโทษของความโกรธไว้ให้ดี จะหาคุณประโยชน์แม้น้อยนิดจากความโกรธไม่ได้เลย เหมือนเสาะแสวงหาน้ำในกลางทะเลทราย ต้องพบแต่ความแห้งแล้ง เราควรฝึกฝนตนให้เป็นคนชุ่มฉ่ำด้วยกระแสแห่งเมตตาจิต มีขันติธรรมอยู่ในใจ เมื่อมีเรื่องมากระทบ อย่าให้กระเทือนเข้าไปในใจ ให้ใจใสๆ อย่าให้ขุ่นมัว เอาชนะความโกรธให้ได้ แล้วเราจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงตลอดกาล
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหา มุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๕

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

มนต์กฤษณะกาลี


มนต์กฤษณะกาลี


พิธีกรรมพิธีหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่า มนต์กฤษณะกาลี
ซึ่ง มนต์กฤษณะกาลี นี้ มีคำอธิบายไว้อยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ


1. มนต์กฤษณะกาลี เป็นการร่ายมนต์บูชาพระกฤษณะของพรามณ์ฮินดู  ที่นำมาใช้เพื่ออธิษฐานจิตไปยังผู้ประพฤติผิดในคำสาบานต่อเทพฮินดู หรือผู้คิดข้องแวะกับไสยศาสตร์โดยกล่าวอ้าง เทพพรามณ์ฮินดูเพื่อประโยชน์ส่วนตน และคิดทำลายความน่าเชื่อถือของศาสนาพรามณ์ฮินดู ให้กลับตัวกลับใจและประพฤติปฏิบัติตามคัมภีร์พระกฤษณะ เพื่อประโยชน์สุขของสังคม


2. มนต์กฤษณะกาลี การร่ายมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในโบราณที่สาปแช่งผู้ที่คิดร้าย ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มีอันเป็นไป แล้วก็เป็นไปตามคาด เปรียบดั่งคำสาปแช่งต่อผู้กระทำผิด เช่น นำเศษผ้าคนตายในวันที่ตายจะเป็นสื่อวิญญาณที่ชักนำให้ผู้ที่ทำร้ายนางต้องเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง ยิ่งมุ่งร้ายมากเพียงใด ก็จะยิ่งพบเจอสิ่งที่ยิ่งกว่าความตาย ถึงกับวิกลจริตวิปลาส บ้างก็ตายตกตามกันไปเลยทีเดียว